ศูนย์คริสตศาสนธรรมสังฆมณฑลราชบุรี
CATECHETICAL CENTER OF RATCHABURI DIOCESE

ปีศักดิ์สิทธิ์ ค.ศ. 2025 "บรรดาผู้จาริกแห่งความหวัง"

 โมเสส: ผู้เผยพระวจนะของพระเจ้า

บุคคลในประวัติศาสตร์ความรอด บทเรียนที่ 7
โมเสส: ผู้เผยพระวจนะของพระเจ้า

จุดประสงค์
เมื่อจบบทเรียนแล้ว ผู้เรียนสามารถ
       1. รู้จักชีวิตของโมเสส ผู้เผยวจนะของพระเจ้า
       2. ตระหนักถึงการช่วยเหลือผู้อื่นตามแบบอย่างของโมเสส
       3. ช่วยเหลือผู้อื่นเท่าที่สามารถด้วยความเต็มใจ

กิจกรรม   ลองทายซิว่า..ท่านนั้นคือใคร ?
ดำเนินการ    ให้ผู้สอนเล่าเรื่องราวกำเนิดของโมเสสให้ผู้เรียนฟังจากเนื้อหาด้านล่างนี้
                   1. เกริ่นนำว่าวันนี้เราจะเรียนรู้ชีวิตของชายคนหนึ่ง ให้เราตั้งใจฟังเรื่องราว แล้วลองทายว่าชายคนนี้คือใคร

                   2. เราได้เรียนรู้เรื่องราวของโยเซฟและครอบครัวของเขาซึ่งได้ย้ายมาอยู่ที่อียิปต์ เมื่อกษัตริย์ฟาโรห์องค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ในอียิปต์ พระองค์มิได้ทรงรู้จักโยเซฟ และเห็นว่าชาวอิสราเอลมีจำนวนมากเกินไป จึงกลัวว่าถ้าเกิดสงครามชาวอิสราเอลจะไปเข้าร่วมกับพวกกับศัตรู

                   3. ชาวอียิปต์จึงตั้งนายงานและบังคับชาวอิสราเอลให้ทำงานเป็นทาสอย่างทารุณ ทำให้ชีวิตของเขาเหล่านั้นขมขื่นเพราะถูกบังคับให้ทำงานหนัก

                   4. กษัตริย์ฟาโรห์สั่งหญิงทำคลอดว่า “เมื่อท่านทำคลอดให้หญิงชาวฮีบรู ถ้าเป็นชายจงฆ่าเสีย ถ้าเป็นหญิงจงปล่อยให้รอดชีวิต” แต่หญิงทำคลอดเป็นผู้ยำเกรงพระเจ้า จึงไม่ปฏิบัติตามรับสั่งของกษัตริย์อียิปต์ นางปล่อยให้เด็กชายรอดชีวิต ประชาชนอิสราเอลทวีจำนวนและมีกำลังมากขึ้น กษัตริย์ฟาโรห์รับสั่งแก่ประชาชนทั้งปวงว่า “จงโยนเด็กชายชาวฮีบรูทุกคนที่เกิดใหม่ลงในแม่น้ำไนล์ แต่ปล่อยให้เด็กหญิงทุกคนรอดชีวิต” เพราะคิดว่าหากไม่มีเด็กชาย ชาวอิสราเอลก็ไม่มีโอกาสที่จะมีกองทัพและไม่สามารถรุกรานชาวอียิปต์ได้

                    5. ชายผู้หนึ่งจากเผ่าเลวีได้หญิงชาวเลวีเป็นภรรยา ต่อมานางตั้งครรภ์และคลอดลูกชาย จึงแอบซ่อนไว้เป็นเวลาสามเดือน เมื่อซ่อนลูกไว้ต่อไปไม่ได้จึงอุ้มใส่ตะกร้าสานด้วยต้นกก ยาด้วยยางมะตอยและชัน นำไปวางไว้ในพงอ้อริมฝั่งแม่น้ำ โดยพี่สาวของเด็กยืนคอยเฝ้าอยู่ห่าง ๆ เพื่อดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเด็ก พระธิดาของกษัตริย์ฟาโรห์เสด็จมาสรงน้ำ ทอดพระเนตรเห็นตะกร้าอยู่ในพงอ้อ จึงรับสั่งให้นางกำนัลไปนำมา เมื่อทรงเปิดตะกร้า ก็ทอดพระเนตรเห็นทารกเพศชายกำลังร้องไห้อยู่ ก็ทรงสงสาร ตรัสว่า“นี่ต้องเป็นลูกของหญิงชาวฮีบรู” พี่สาวของเด็กก็ทูลถามว่า “จะให้ดิฉันไปเรียกแม่นมชาวฮีบรู มาเลี้ยงเด็กคนนี้ให้พระองค์ไหมคะ” พระธิดาของกษัตริย์ฟาโรห์รับสั่งว่า “ไปเรียกมาซิ” เด็กหญิงนั้นก็ไปเรียกมารดาของทารกมา พระธิดากษัตริย์ฟาโรห์จึงตรัสกับนางว่า“จงนำเด็กคนนี้ไปเลี้ยงให้ฉันเถิด ฉันจะให้ค่าจ้าง” หญิงนั้นก็นำทารกไปเลี้ยง เมื่อเด็กเติบโตพอสมควรแล้ว นางก็นำไปถวายพระธิดาของกษัตริย์ฟาโรห์ พระธิดาทรงรับเขาเป็นบุตร และทรงตั้งชื่อว่า“โมเสส” ตรัสว่า “ฉันได้ฉุดเขาขึ้นมาจากน้ำ”

วิเคราะห์ ผู้สอนสนทนากับผู้เรียน

               1. เมื่อทารกเกิดมาพวกเขาสามารถดูแลตนเองได้หรือไม่ (ไม่ได้) และใครจะเป็นผู้ดูแลเด็ก ๆ เหล่านั้น (พ่อแม่,ปู่ย่า, ตายาย, พี่ชายพี่สาว, ญาติพี่น้อง)
               2. ถ้าผู้เรียนอยู่ในสมัยนั้น และถ้ามีเด็กชายทารกเกิดขึ้นในครอบครัวของผู้เรียนจะรู้สึกอย่างไร (กลัวว่าเขาจะถูกโยนลงในแม่น้ำไนล์)
               3. ทราบหรือไม่ว่า เด็กที่พระธิดาของกษัตริย์ฟาโรห์รับเป็นบุตรนี้คือใคร (โมเสส) และชื่อโมเสสมีความหมายว่าอย่างไร (ฉุดขึ้นมาจากน้ำ)
               4. หากว่าผู้เรียนมีน้องชายที่เพิ่งคลอดออกมาเหมือนกับโมเสส และต้องถูกโยนลงแม่น้ำไนล์ ผู้เรียนจะทำอย่างไรเพื่อปกป้องน้องชายให้ปลอดภัย (ทำเหมือนกับที่พี่สาวของโมเสสทำ, ให้ผู้เรียนช่วยกันแสดงความคิดเห็น)

                 สรุป พี่สาวของโมเสสมีความห่วงใยต่อน้องชาย ยอมลำบาก คอยเฝ้าดูอยู่ห่าง ๆ แม้ว่าเธอเองก็มีความกลัวและต้องซ่อนตัวอยู่ตลอดเวลา ผ่านทางเหตุการณ์นี้ เราได้เห็นว่าพระเจ้าทรงปกป้องโมเสส ก็เพื่อให้เขาเป็นผู้นำความรอดพ้นและช่วยเหลือผู้อื่นให้รอดพ้นด้วยเช่นเดียวกัน

คำสอน                                         

              1. ในสังคมมีหลายบุคคล หลายหน่วยงานที่ยอมลำบากและคอยช่วยเหลือผู้อื่นให้รอดจากอันตรายและความเดือดร้อนต่าง ๆ เช่น “นักดับเพลิง” ซึ่งเรียกได้ว่าเป็น “หน่วยกล้าตาย” ที่ต้องเอาชีวิตของตนไปเสี่ยงเพื่อดับไฟที่กำลังลุกลามอยู่ ชีวิตของพวกเขาแขวนอยู่บนความตายตลอดเวลา และเมื่อมีข่าวการสูญเสียชีวิตของนักดับเพลิงในขณะปฏิบัติหน้าที่ ก็เป็นเรื่องที่น่าเศร้า แต่ก็เป็นเครื่องหมายที่ยืนยันว่า พวกเขายอมสละชีวิตได้เพื่อระงับความรุนแรงและเพื่อรักษาชีวิตของผู้คน โมเสสก็เปรียบเหมือนกับ “หน่วยกล้าตายของชาวอิสราเอล” เขายอมรับภารกิจที่พระเจ้าทรงมอบให้ แม้จะยากลำบาก แต่โมเสสก็เสียสละเพื่อช่วยชนชาติอิสราเอลให้พ้นจากการเป็นทาสในประเทศอียิปต์

              2. โมเสสเติบโตขึ้นในราชวังของฟาโรห์ วันหนึ่งเขาออกเยี่ยมเยียนเพื่อนร่วมชาติ เห็นพวกเขาถูกบังคับให้ทำงานหนักและชาวอียิปต์คนหนึ่งกำลังทุบตีชาวฮีบรูเพื่อนร่วมชาติของเขา โมเสสมองดูโดยรอบไม่เห็นใครจึงฆ่าชาวอียิปต์ผู้นั้น เมื่อกษัตริย์ฟาโรห์ทรงทราบเรื่องนี้ก็พยายามประหารโมเสส เขาจึงหลบหนีไปยังแผ่นดินมีเดียน และแต่งงานกับ “ศิปโปราห์” หญิงชาวมีเดียน เขาทำอาชีพเลี้ยงสัตว์ และมีบุตรชายคนหนึ่ง ชื่อว่า “เกอร์โชม”

                   วันหนึ่งขณะที่โมเสส ต้อนฝูงแพะแกะข้ามถิ่นทุรกันดารไปถึงโฮเรบ เขาเห็นพุ่มไม้ลุกเป็นไฟแต่ไม่ได้มอดไหม้ พระเจ้าตรัสเรียกเขาจากพุ่มไม้ว่า “โมเสส โมเสส” เขาตอบว่า “ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่” พระองค์ตรัสห้ามว่า “อย่าเข้ามาใกล้กว่านี้ จงถอดรองเท้าออก เพราะสถานที่ที่ท่านยืนอยู่เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์”และตรัสต่อไปว่า “เราสังเกตเห็นความทุกข์ยากของประชากรของเราในอียิปต์ เราได้ยินเสียงร้องเพราะความทารุณของนายงาน เรารู้ดีถึงความทุกข์ทรมานของเขา เราลงมาช่วยเขาให้พ้นมือชาวอียิปต์และนำเขาออกจากแผ่นดินนั้น ไปสู่แผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์และกว้างใหญ่ พระเจ้าส่งโมเสสไปเฝ้ากษัตริย์ฟาโรห์เพื่อนำชาวอิสราเอลออกจากอียิปต์ และทรงเปิดเผยพระนามแก่โมเสสว่า “เราเป็นผู้ที่เราเป็น” และให้อาโรนพี่ชาย
ไปกับโมเสสเพื่อพูดแทนโมเสส พระเจ้าทรงอยู่กับเขาทั้งสอง เมื่อเดินทางไปถึงอียิปต์ โมเสสกับอาโรนเข้าเฝ้ากษัตริย์ฟาโรห์ทูลให้ปล่อยชาวอิสราเอล แต่กษัตริย์ฟาโรห์ดื้อดึงไม่ยอมฟังโมเสสและอาโรน ด้วยเหตุนี้จึงเกิดภัยพิบัติถึง 10 ประการ
ทั่วแผ่นดินอียิปต์ ส่งผลให้เกิดความเสียหายมากมาย จนถึงภัยพิบัติประการสุดท้าย พระเจ้าทรงประหารบุตรชายคนแรกทั้งหมดในแผ่นดินอียิปต์ ยกเว้นบุตรชายของชาวอิสราเอล

                 ที่สุดกษัตริย์ฟาโรห์ยอมปล่อยชาวอิสราเอลให้เป็นอิสระจากประเทศอิยิปต์ โมเสสนำชนชาติอิสราเอลออกจากประเทศอียิปต์ และเดินทางเข้าสู่แผ่นดินพันธสัญญา ระหว่างทางพระเจ้าทรงทำพันธสัญญากับชาวอิสราเอล และมอบบัญญัติ 10 ประการให้พวกเขาผ่านทางโมเสส ณ ภูเขาซีนาย

                  ในวาระสุดท้าย พระเจ้าทรงนำโมเสสไปบนภูเขาเนโบซึ่งอยู่ตรงข้ามแผ่นดินพันธสัญญา พระองค์ทรงให้โมเสสเห็นแผ่นดินนั้น แต่เขาไม่ได้เข้าไปในแผ่นดินนั้น โมเสสสิ้นชีวิตเมื่ออายุ 120 ปี

              3. โมเสสเป็นแบบอย่างให้เราในหลายเรื่อง เช่น มีความไว้วางใจและเชื่อฟังพระเจ้า มีความกล้าหาญ โดยไปเข้าเฝ้ากษัตริย์ฟาโรห์เพื่อนำชาวอิสราเอลออกจากประเทศอียิปต์ ต้องลำบากเดินทางผ่านถิ่นทุรกันดารร่วม 40 ปี สั่งสอนและถ่ายทอดบัญญัติของพระเจ้าแก่ชาวอิสราเอล บอกให้พวกเขาเชื่อฟังพระเจ้า ไม่หันเหไปหาพระอื่น เป็นตัวแทนของชาวอิสราเอลในการทูลขอต่อพระเจ้า ถึงแม้โมเสสจะเป็นคนที่พูดไม่เก่ง แต่เขามีหัวใจที่รักพระเจ้าและรักเพื่อนพี่น้องร่วมชาติของเขา

              4. เราได้เห็นแบบอย่างชีวิตของบรรดานักดับเพลิง แบบอย่างชีวิตของโมเสส และแบบอย่างที่สำคัญที่สุดคือแบบอย่างชีวิตของพระเยซูเจ้าที่ทรงบังเกิดมาเป็นมนุษย์เพื่อช่วยเราให้รอด ในฐานะที่เป็นคริสตชน เราทุกคนจะต้องมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในการช่วยเหลือผู้อื่นอย่างเต็มความสามารถของเราด้วยเช่นกัน

             5. เราสามารถเป็นโมเสสอีกคนหนึ่งในบ้านของเราได้ โดยการช่วยเหลือพ่อแม่ทำงานบ้าน แบ่งเบาภาระของท่านในสิ่งที่เราสามารถทำได้ เราสามารถเป็นโมเสสในโรงเรียนได้ โดยการช่วยเหลือคุณครูและเพื่อน ๆช่วยหยิบของ ช่วยยกของ มีน้ำใจ แบ่งปัน เราสามารถเป็นโมเสสในชุมชนวัดของเราได้ โดยการช่วยเหลืองานของวัด ช่วยมิสซา ช่วยแจกหนังสือ อ่านบทอ่าน และด้วยการเชื่อฟังพ่อแม่ คุณครู ผู้ใหญ่ที่คอยอบรมสั่งสอนตักเตือน ชี้แนะเรา ตามแบบอย่างที่ดีงามของโมเสสที่เชื่อฟังและปฏิบัติตามสิ่งที่พระเจ้าบอกเสมอ

ก. ข้อควรจำ
1. โมเสส แปลว่า ฉุดขึ้นมาจากน้ำ
2. โมเสสเป็นแบบอย่างให้เราในเรื่องความไว้วางใจและเชื่อฟังพระเจ้า
3. โมเสสเป็นผู้นำที่กล้ายอมรับความจริงว่าตนเองเป็นชาวยิว กล้าหาญไปเฝ้ากษัตริย์ฟาโรห์เพื่อทูลให้ปล่อยชาวอิสราเอล
4. โมเสสสั่งสอนและถ่ายทอดบัญญัติของพระเจ้าแก่ชาวอิสราเอล บอกให้พวกเขาเชื่อฟังพระเจ้า ไม่หันเหไปหาพระอื่น เป็นตัวแทนของชาวอิสราเอลในการทูลขอต่อพระองค์
5. ในฐานะที่เป็นคริสตชน เราต้องมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในการช่วยเหลือผู้อื่นอย่างเต็มความสามารถของเรา

ข. กิจกรรม    

“มือที่งดงาม คือมือที่ช่วยเหลือผู้อื่น”
อุปกรณ์ 1. กระดาษไซส์ A5 (A4 ตัดครึ่ง) สีอ่อน ตามจำนวนผู้เรียน
              2. ไม้ไอศกรีมแท่ง ตามจำนวนผู้เรียน
              3. กรรไกร กาว และปากกา
ดำเนินการ
              1. แจกกระดาษไซส์ A5 สีอ่อนๆ ให้ผู้เรียนคนละ 1 แผ่น และไม้ไอศกรีมคนละ 1 แท่ง
              2. ให้ผู้เรียนทาบมือของตนเองโดยวาดลงบนกระดาษสีที่ได้รับ
              3. เขียนคำว่า “มือของฉัน” ไว้ตรงกลางมือในกระดาษ และเขียนข้อความลงบนนิ้วแต่ละนิ้วว่า ฉันจะใช้มือของฉันช่วยเหลือผู้อื่นได้อย่างไรบ้าง
              4. ใช้กรรไกรตัดตามรอยมือที่วาดแล้วติดกาวลงบนไม้ไอศกรีม นำไปติดที่บอร์ดในห้องคำสอนหรือให้ผู้เรียนนำไปไว้ที่บ้านเพื่อเตือนใจให้พร้อมจะช่วยเหลือผู้อื่นในชีิวิตของตนอย่างสม่ำเสมอ

                 สรุป กิจกรรมนี้เน้นย้ำว่า เราทุกคนสามารถเป็นโมเสสอีกคนหนึ่งได้ ด้วยการใช้มือของเราแสดงความรัก แบ่งปัน ให้อภัยและช่วยเหลือผู้อื่นอย่างเต็มความสามารถในชีวิตของตน

ค. การบ้าน              

        1. อ่านใบความรู้เรื่องโมเสส เพิ่มเติม

       ::: Download  บทเรียนที่ 7 ::

 

 โมเสส

โมเสส: ผู้เผยพระวจนะของพระเจ้าโมเสส 

 (อพยพ 1-17, 19)

             หลังจากกษัตริย์ฟาโรห์องค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ในอียิปต์ พระองค์มิได้ทรงรู้จักโยเซฟและเห็นว่าชาวอิสราเอลมีมากเกินไป จึงกลัวว่าถ้าเกิดสงครามชาวอิสราเอลจะไปเข้าข้างกับศัตรู ชาวอียิปต์จึงตั้งนายงานและบังคับชาวอิสราเอลให้ทำงานเป็นทาสอย่างทารุณ ทำให้ชีวิตของเขาเหล่านั้นขมขื่นเพราะถูกบังคับให้ทำงานหนัก ให้ขุดดินเพื่อนำมาทำอิฐและให้ทำนา ชาวอิสราเอลถูกบังคับให้ทำงานหนักทุกชนิดอย่างทารุณ แล้วกษัตริย์ฟาโรห์รับสั่งกับหญิงทำคลอดว่า“เมื่อท่านทำคลอดให้หญิงชาวฮีบรู ถ้าเป็นชายจงฆ่าเสีย ถ้าเป็นหญิงจงปล่อยให้รอดชีวิต” แต่หญิงทำคลอดเป็นผู้ยำเกรงพระเจ้า จึงไม่ได้ปฏิบัติตามคำสั่งของกษัตริย์ฟาโรห์ นางปล่อยให้เด็กชายรอดชีวิต ประชาชนอิสราเอลก็ทวีจำนวนและมีกำลังมากขึ้น เนื่องจากหญิงทำคลอดทั้งสองคนยำเกรงพระเจ้า พระองค์ทรงบันดาลให้นางมีลูกหลานมากมาย กษัตริย์ฟาโรห์รับสั่งแก่ประชาชนทั้งปวงว่า “จงโยนเด็กชายชาวฮีบรูทุกคนที่เกิดใหม่ลงในแม่น้ำไนล์ แต่ปล่อยให้เด็กหญิงทุกคนรอดชีวิต”

โมเสส: ผู้เผยพระวจนะของพระเจ้าโมเสส

            ชายผู้หนึ่งจากเผ่าเลวีได้หญิงชาวเลวีเป็นภรรยา ต่อมานางตั้งครรภ์และคลอดลูกชาย จึงซ่อนไว้เป็นเวลาสามเดือน เมื่อซ่อนลูกต่อไปไม่ได้อีก จึงนำใส่ตะกร้าสานด้วยต้นกก ยาด้วยยางมะตอยและชันแล้วไปวางไว้ในพงอ้อริมฝั่งแม่น้ำ พี่สาวของเด็กยืนเฝ้าอยู่ห่าง ๆ เพื่อดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเด็ก พระธิดาของกษัตริย์ฟาโรห์เสด็จมาสรงน้ำที่แม่น้ำ ทอดพระเนตรเห็นตะกร้าอยู่ในพงอ้อ จึงรับสั่งให้นางกำนัลไปนำมา เมื่อเปิดตะกร้าก็ทอดพระเนตรเห็นทารกเพศชายกำลังร้องไห้อยู่ ก็ทรงสงสารตรัสว่า “นี่ต้องเป็นลูกของหญิงชาวฮีบรู” พี่สาวของเด็กนั้นทูลถามว่า “จะให้ดิฉันไปเรียกแม่นมชาวฮีบรูมาเลี้ยงเด็กนี้ให้ไหมคะ”พระธิดาของกษัตริย์ฟาโรห์รับสั่งว่า “ไปเรียกมาซิ” เด็กหญิงนั้นก็ไปเรียกมารดาของทารกมา พระธิดาของกษัตริย์ฟาโรห์จึงตรัสกับนางว่า “จงนำเด็กคนนี้ไปเลี้ยงให้ฉันเถิด ฉันจะให้ค่าจ้าง” หญิงนั้นก็นำทารกไปเลี้ยงไว้ เมื่อเด็กเติบโตพอสมควรแล้ว นางก็นำไปถวายพระธิดาของกษัตริย์ฟาโรห์ พระธิดาทรงรับเขาเป็นบุตร และทรงตั้งชื่อว่าโมเสส ตรัสว่า “ฉันได้ฉุดเขาขึ้นมาจากน้ำ”

 

            โมเสสเติบโตขึ้นในราชวังของกษัตริย์ฟาโรห์ วันหนึ่งเขาออกเยี่ยมเยียนเพื่อนร่วมชาติ เห็นพวกเขาถูกบังคับให้ทำงานหนัก และชาวอียิปต์คนหนึ่งกำลังทุบตีชาวฮีบรูเพื่อนร่วมชาติของเขา โมเสสมองดูโดยรอบไม่เห็นใคร จึงฆ่าชาวอียิปต์ผู้นั้นแล้วเอาศพหมกทรายไว้ วันรุ่งขึ้นเขากลับไปอีก เห็นชาวฮีบรูสองคนกำลังต่อสู้กัน โมเสสถามคนที่ทำผิดว่า “ทำไมท่านจึงทุบตีเพื่อนร่วมชาติของท่าน” เขาตอบว่า“ใครตั้งท่านเป็นผู้นำและผู้ตัดสินพวกเรา ท่านจะฆ่าข้าพเจ้าเหมือนฆ่าชาวอียิปต์ผู้นั้นหรือ” โมเสสกลัวมากคิดในใจว่า “ใคร ๆ ต้องรู้เรื่องนี้แล้วแน่ ๆ” กษัตริย์ฟาโรห์ทรงทราบเรื่องจึงพยายามประหารโมเสส แต่เขาหลบหนีไปในแผ่นดินมีเดียน จนไปพบและช่วยบุตรหญิงของเรอูเอลสมณะชาวมีเดียน จากกลุ่มคนเลี้ยงแกะที่ขับไล่พวกเธอขณะตักน้ำให้ฝูงสัตว์กิน บุตรหญิงจึงเล่าเรื่องของโมเสสให้เรอูเอลบิดาฟัง เรอูเอลจึงยกศิปโปราห์บุตรหญิงให้เป็นภรรยา ศิปโปราห์ให้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่ง โมเสสตั้งชื่อบุตรว่า “เกอร์โชม” หมายถึง ฉันเป็นคนแปลกหน้าอยู่ต่างแดน

 

            วันหนึ่ง ขณะที่โมเสสต้อนฝูงแพะแกะข้ามถิ่นทุรกันดารไปถึงโฮเรบ ภูเขาของพระเจ้า ทูตสวรรค์ ของพระเจ้าปรากฏแก่เขาเป็นเปลวไฟลุกอยู่กลางพุ่มไม้ โมเสสเห็นพุ่มไม้นั้นลุกเป็นไฟ แต่ไม่ได้มอดไหม้ จึงอยากเข้าไปดูใกล้ ๆ พระเจ้าทอดพระเนตรเห็นเขา จึงตรัสเรียกจากพุ่มไม้ว่า “โมเสส โมเสส” เขาตอบว่า “ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่” พระองค์ตรัสห้ามว่า “อย่าเข้ามาใกล้กว่านี้ จงถอดรองเท้าออก เพราะสถานที่ที่ท่านยืนอยู่เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์” และยังตรัสต่อไปว่า “เราสังเกตเห็นความทุกข์ยากของประชากรของเราในอียิปต์ เราได้ยินเสียงร้องเพราะความทารุณของนายงาน เรารู้ดีถึงความทุกข์ทรมานของเขา เราลงมาช่วยเขาให้พ้นมือชาวอียิปต์และนำเขาออกจากแผ่นดินนั้น ไปสู่แผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์และกว้างใหญ่ ไปยังแผ่นดินที่มีน้ำนมและน้ำผึ้งไหลบริบูรณ์ เราจะส่งท่านไปเฝ้ากษัตริย์ฟาโรห์ เพื่อนำชาวอิสราเอลประชากรของเราออกจากอียิปต์” และทรงเปิดเผยพระนามแก่โมเสสว่า “เราเป็นผู้ที่เราเป็น” และให้อาโรนพี่ชายไปกับโมเสส เพื่อพูดแทนโมเสส และพระเจ้าทรงอยู่กับเขาทั้งสอง

 

          เมื่อเดินทางถึงอียิปต์ โมเสสกับอาโรนพี่ชายไปเฝ้ากษัตริย์ฟาโรห์ ทูลให้ปล่อยชาวอิสราเอลไปในถิ่นทุรกันดารเพื่อถวายบูชาแด่พระเจ้า แต่กษัตริย์ฟาโรห์กลับสั่งให้นายงานบังคับชาวอิสราเอลให้ทำงานหนักกว่าเดิม กษัตริย์ฟาโรห์ดื้อดึงไม่ยอมฟังโมเสสและอาโรน ด้วยเหตุนี้ จึงเกิดภัยพิบัติถึง 10 ประการทั่วแผ่นดินอียิปต์ ส่งผลให้เกิดความเสียหายมากมาย จนถึงภัยพิบัติประการสุดท้าย พระเจ้าทรงประหารชีวิตบุตรชายคนแรกทั้งหมดในแผ่นดินอียิปต์ ตั้งแต่พระโอรสองค์แรกของกษัตริย์ฟาโรห์ ไปจนถึงลูกตัวแรกของสัตว์ทั้งปวง ยกเว้นบุตรชายของชาวอิสราเอล โดยคืนนั้นชาวอิสราเอลได้ทำการเลี้ยงปัสกาและทาเลือดของสัตว์ไว้ที่กรอบประตูด้านข้างและด้านบน เมื่อพระเจ้าเสด็จผ่านและทอดพระเนตรเห็นเลือดที่กรอบประตูทั้งด้านข้างและด้านบน พระองค์จะเสด็จผ่านไป ที่สุดกษัตริย์ฟาโรห์จึงยอมปล่อยชาวอิสราเอลให้ไปนมัสการพระเจ้าตามที่โมเสสและอาโรนได้ทูลขอ

 

            โมเสสนำชนชาติอิสราเอลออกจากประเทศอียิปต์ พร้อมทั้งฝูงสัตว์ เครื่องเงินและเครื่องทองที่ได้มาจากชาวอียิปต์ เวลากลางวัน พระเจ้าเสด็จนำหน้าเขาเหมือนเสาเมฆเพื่อชี้ทาง และเวลากลางคืนก็เสด็จนำหน้าเขาเหมือนเสาเพลิงเพื่อส่องสว่าง เขาจึงเดินทางได้ทั้งกลางวันและกลางคืน หลังจากนั้นไม่นาน พระเจ้าทรงบันดาลให้กษัตริย์ฟาโรห์ของอียิปต์มีพระทัยดื้อดึงไล่ตามชาวอิสราเอลไป ฝ่ายชาวอิสราเอลต่างพากันตกใจกลัวและกล่าวโทษโมเสส โมเสสกล่าวกับพวกเขาว่า “อย่ากลัวเลย จงยืนหยัดมั่นคงแล้วท่านจะเห็นว่า พระเจ้าจะทรงช่วยท่านทั้งหลายให้รอดพ้นอย่างไรในวันนี้ พระเจ้าจะทรงสู้รบแทนท่านทั้งหลาย จงสงบใจอยู่เฉย ๆ เถิด”

 

            พระเจ้าสั่งให้โมเสสนำชาวอิสราเอลเดินหน้าต่อไป และเสาเมฆก็เคลื่อนไปด้านหลัง เพื่อกันระหว่างชาวอิสราเอลจากกองทัพอียิปต์ไว้ตลอดคืน เมื่อมาถึงทะเล โมเสสก็ยื่นมือไปเหนือทะเลพระเจ้าทรงบันดาลให้เกิดลมตะวันออกพัดแรงตลอดคืน ทำให้น้ำทะเลไหลกลับไป และทำให้ทะเลกลับเป็นพื้นดินแห้ง น้ำแยกจากกัน ชาวอิสราเอลก็เดินบนพื้นดินแห้งกลางทะเล โดยมีน้ำอยู่ด้านขวาและด้านซ้ายเป็นเหมือนกำแพง ในคืนนั้น พระเจ้าบันดาลกองทัพอียิปต์เกิดโกลาหล ทรงกระทำให้ล้อรถศึกฟืดจนแล่นไปไม่ไหว พระเจ้าตรัสกับโมเสสให้ยื่นมือไปเหนือทะเลเถิด น้ำทะเลก็ไหลกลับมาท่วมชาวอียิปต์ทั้งรถศึกและผู้ขับขี่ โมเสสยื่นมือไปเหนือทะเล ครั้นรุ่งเช้าน้ำทะเลก็ไหลกลับมาที่เดิม ท่วมรถศึก ผู้ขับขี่กับกองทัพทั้งมด ไม่มีผู้ใดรอดชีวิตเลย

 

           ชาวอิสราเอลเห็นพระอานุภาพยิ่งใหญ่ซึ่งพระยาห์เวห์ทรงสำแดงต่อชาวอียิปต์ ประชากรทั้งปวงจึงมีความยำเกรงพระเจ้า มีความเชื่อในพระองค์และมีความเชื่อในโมเสสผู้รับใช้พระองค์

 

          ระหว่างการเดินทางเพื่อเข้าสู่แผ่นดินพันธสัญญาเกิดเหตุการณ์มากมาย เช่น เมื่อมาถึงมาราห์เขาไม่อาจดื่มน้ำที่มาราห์ได้เพราะน้ำนั้นขม โมเสสอ้อนวอนพระเจ้า เขาจึงโยนท่อนไม้นั้นลงไปในน้ำ น้ำนั้นก็หายขม เหตุการณ์การกันดารอาหารที่ถิ่นทุรกันดารศิน แต่พระเจ้าบันดาลให้มีอาหารตกลงมาจากฟ้าเหมือนฝน เพื่อให้ประชากรอิสราเอลได้เก็บกินเพียงพอให้แต่ละวัน ชาวอิสราเอลเรียกอาหารนั้นว่า“มานนา” มีลักษณะเหมือนเมล็ดผักชีสีขาว รสเหมือนกับขนมปังกรอบผสมน้ำผึ้ง และเมื่อเดินทางมาตั้งค่ายที่เรฟีดิม ที่นั่นไม่มีน้ำให้ดื่มเลย ประชากรอิสราเอลจึงต่อว่าโมเสส เขาก็อ้อนวอนขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า พระเจ้าตรัสตอบเขาว่า จงเดินไปข้างหน้าประชาชน จงนำผู้อาวุโสชาวอิสราเอลบางคนไปด้วย เราจะยืนอยู่ต่อหน้าท่านที่หน้าผาบนภูเขาโฮเรบ จงตีีหิน จะมีน้ำไหลออกมาให้ประชาชนดื่ม โมเสสทำดังนี้ต่อหน้าผู้อาวุโสชาวอิสราเอลสถานที่แห่งนั้นจึงได้ชื่อว่ามัสสาห์และเมรีบาห์ เพราะชาวอิสราเอลได้ต่อว่าและทดลองพระเจ้า โดยถามว่า“พระเจ้าสถิตกับเราหรือไม่”

 

           และเหตุการณ์สำคัญอีกหนึ่งเหตุการณ์คือ พระเจ้าทรงทำพันธสัญญากับชาวอิสราเอล และมอบบัญญัติสิบประการให้กับพวกเขาผ่านทางโมเสส ณ ภูเขาซีนาย

 

 

 

ปีศักดิ์สิทธิ์ ค.ศ. 2025

ปีศักดิ์สิทธิ์ ค.ศ. 2025 "บรรดาผู้จาริกแห่งความหวัง"

เนื้อหาและบทเรียน