ศูนย์คริสตศาสนธรรมสังฆมณฑลราชบุรี
CATECHETICAL CENTER OF RATCHABURI DIOCESE

 บทเรียนที่ 18 การพิพากษานำเราให้มีความหวัง

CCP ปีศักดิ์สิทธิ์ ค.ศ. 2025 บทเรียนที่ 18 
การพิพากษานำเราให้มีความหวัง

จุดประสงค์
เมื่อจบบทเรียนแล้ว ผู้เรียนสามารถ              
          1. รู้และเข้าใจถึงความเชื่อเรื่องการพิพากษาผู้เป็นและผู้ตาย
          2. ตระหนักว่าการพิพากษาเป็นการพบกับพระเจ้าผู้เมตตาและพระทัยดี
          3. มีความหวังและเตรียมพร้อมรอคอยวันเวลาที่จะพบกับพระเจ้าด้วยความหวัง

 

กิจกรรม   นิทานเปรียบเทียบ อุปมาเรื่อง “เศรษฐีกับลาซารัส” (ลก. 16:9–31)

ดำเนินการ       ผู้สอนเล่านิทานเปรียบเทียบให้ผู้เรียนฟัง

            เศรษฐีผู้หนึ่ง แต่งกายหรูหราด้วยเสื้อผ้าเนื้อดีราคาแพง จัดงานเลี้ยงใหญ่ทุกวัน คนยากจนผู้หนึ่งชื่อลาซารัส นอนอยู่ที่ประตูบ้านของเศรษฐีผู้นั้น เขามีบาดแผลเต็มตัว อยากจะกินเศษอาหารที่ตกจากโต๊ะของเศรษฐี มีแต่สุนัขมาเลียแผลของเขา
            วันหนึ่ง คนยากจนผู้นี้ตาย ทูตสวรรค์นำเขาไปอยู่ในอ้อมอกของอับราฮัม เศรษฐีคนนั้นก็ตายเช่นเดียวกันและถูกฝังไว้ เศรษฐีซึ่งกำลังถูกทรมานอยู่ในแดนผู้ตาย แหงนหน้าขึ้น มองเห็นอับราฮัมแต่ไกล และเห็นลาซารัสอยู่ในอ้อมอก จึงร้องตะโกนว่า “ท่านพ่ออับราฮัม จงสงสารลูกด้วย กรุณาส่งลาซารัสให้ใช้ปลายนิ้วจุ่มน้ำมาแตะลิ้นให้ลูกสดชื่นขึ้นบ้าง เพราะลูกกำลังทุกข์ทรมานอย่างสาหัสในเปลวไฟนี้” แต่อับราฮัมตอบว่า“ลูกเอ๋ยจงจำไว้ เมื่อยังมีชีวิตลูกได้รับแต่สิ่งดี ๆ ส่วนลาซารัสได้รับแต่สิ่งเลว ๆ บัดนี้ เขาได้รับการบรรเทาใจที่นี่ ส่วนลูกต้องรับทรมาน ยิ่งกว่านั้น ยังมีเหวใหญ่ขวางอยู่ระหว่างเราทั้งสอง จนใครที่ต้องการจะข้ามจากที่นี่ไปหาลูก ก็ข้ามไปไม่ได้ และผู้ที่ต้องการจะข้ามจากด้านโน้นมาหาเรา ก็ข้ามมาไม่ได้ด้วย” เศรษฐีจึงพูดว่า “ท่านพ่อ ลูกอ้อนวอนให้ท่านส่งลาซารัสไปยังบ้านบิดาของลูก เพราะลูกยังมีพี่น้องอีกห้าคน ขอให้ลาซารัสเตือนเขาอย่าให้มายังสถานที่ทรมานแห่งนี้เลย” อับราฮัมตอบว่า “พี่น้องของลูกมีโมเสสและบรรดาประกาศกอยู่แล้ว ให้เขาเชื่อฟังท่านเหล่านั้นเถิด” แต่เศรษฐีพูดว่า “มิใช่เช่นนั้น ท่านพ่ออับราฮัม ถ้าใครคนหนึ่งจากบรรดาผู้ตายไปหาเขา เขาจึงจะกลับใจ” อับราฮัมตอบว่า “ถ้าเขาไม่เชื่อฟังโมเสสและบรรดาประกาศก แม้ใครที่กลับคืนชีวิตจากบรรดาผู้ตายเตือนเขาเขาก็จะไม่เชื่อ”

 

วิเคราะห์ ผู้สอนสนทนากับผู้เรียน

         1. ในอุปมาเรื่องนี้มีใครบ้าง พวกเขาทำอะไรบ้าง (ให้ผู้เรียนแบ่งปัน)
         2. ฟังเรื่องนี้แล้วรู้สึกอย่างไร (สงสารลาซารัส, แดนผู้ตายน่ากลัว ฯลฯ)
         3. ได้ข้อคิดหรือบทสอนอะไรจากอุปมาเรื่องนี้บ้าง (ให้ผู้เรียนแบ่งปัน)


               สรุป ผู้ที่มีความเมตตา คือคนที่เห็นคุณค่าและเอาใส่ใจช่วยเหลือผู้ที่ตกทุกข์ได้ยาก ไม่ใช่เห็นแก่ความสุขสบายเพียงของตนเอง และทุกการกระทำของเราในโลกนี้มีผลต่อชีวิตหลังความตาย ผู้ที่กระทำดีตามคำสอนของพระเยซูเจ้า ดำเนินชีวิตด้วยความรักและความเมตตา จะได้รับรางวัลและชีวิตนิรันดร

 

คำสอน                                                                                                                                   

                  1. เราทุกคนต้องผ่านความตายและชีวิตหลังจากความตาย เราจะถูกพิพากษาจากพระเจ้าซึ่งความจริงแล้วขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ เรามักจะถูกตัดสินจากคนรอบข้าง แต่การถูกตัดสินหรือถูกพิพากษาโดยมนุษย์ อาจมีผิดพลาดหรือไม่เที่ยงธรรม ซึ่งต่างจากการพิพากษาของพระเจ้าดังนั้น ก่อนจะตาย เราต้องดำเนินชีวิตอย่างดีตามคำสอนของพระเยซูเจ้าและจะต้องรอคอยเวลานั้นอย่างมีความหวัง ความหวังของเราคือ ชีวิตนิรันดร และชีวิตนิรันดรคือการได้อยู่กับพระเจ้าอย่างมีความสุขตลอดไป

     

                  2. ตามความเชื่อของคริสตชน การพิพากษาจะมี 2 ครั้ง คือ การพิพากษาส่วนบุคคล เกิดขึ้นตั้งแต่บุคคลนั้นสิ้นใจและการพิพากษาครั้งสุดท้าย จะเกิดขึ้นในวันสุดท้าย คือวันสิ้นโลก เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมาอีกครั้งหนึ่ง(CCC 1020-1022) พระเยซูคริสตเจ้าจะทรงพิพากษาทุกสิ่งที่เราได้กระทำตลอดชีวิต และจะประทานรางวัลให้ถ้าเราได้กระทำดี ดังที่พระเยซูคริสตเจ้าตรัสไว้ในนิทานเปรียบเทียบเรื่อง “เศรษฐีและลาซารัส” ว่า “วันหนึ่งคนยากจนผู้นี้ตาย ทูตสวรรค์นำเขาไปอยู่ในอ้อมอกของอับราฮัม เศรษฐีคนนั้นก็ตายเช่นเดียวกันและถูกฝังไว้”(ลก. 16:22) ทั้งสองตาย ถูกพิพากษา ได้รับบำเหน็จและโทษทันทีหลังความตาย และพระองค์ยังตรัสสัญญากับโจรที่ถูกตรึงอยู่เบื้องขวาของพระองค์ว่า “วันนี้เจ้าจะอยู่กับเราในสวรรค์” (ลก. 23:43) คือทันทีหลังความตายเช่นกัน ส่วนการพิพากษาครั้งสุดท้ายจะเกิดขึ้นในวันสิ้นโลก เมื่อพระคริสตเจ้าจะเสด็จมาครั้งที่สอง “ทุกคนในหลุมศพจะได้ยินพระสุรเสียงของพระบุตรและจะออกมา ผู้ที่ได้ทำความดีจะกลับคืนชีวิตมารับชีวิตนิรันดร ส่วนผู้ที่ทำความชั่วก็จะกลับคืนชีวิตมารับใช้โทษทัณฑ์” (ยน. 5:28ข-29) (CCC 1038-1041, 1058-1059)

 

                  3. หลักการที่พระเจ้าทรงใช้พิพากษามนุษย์นั้น ก็คือพระบัญญัติแห่งความรัก “เพราะว่าเมื่อเราหิว ท่านให้เรากินเรากระหาย ท่านให้เราดื่มเราเป็นแขกแปลกหน้า ท่านก็ต้อนรับเราไม่มีเสื้อผ้า ท่านก็ให้เสื้อผ้าแก่เราเราเจ็บป่วย ท่านก็มาเยี่ยม เราอยู่ในคุกท่านก็มาหา มาเถิด... จงมารับบำเหน็จที่ได้เตรียมไว้สำหรับเจ้าตั้งแต่สร้างโลก” (เทียบ มธ. 25:34–36) และอีกตอนหนึ่งว่า “เมื่อเราหิว ท่านไม่ให้อะไรเรากินเรากระหาย ท่านไม่ให้อะไรเราดื่ม เราเป็นแขกแปลกหน้าท่านก็ไม่ต้อนรับ เราไม่มีเสื้อผ้า ท่านก็ไม่ให้เสื้อผ้า เราเจ็บป่วยและอยู่ในคุก ท่านก็ไม่มาเยี่ยม... ท่านทั้งหลายที่ถูกสาปแช่ง จงไปให้พ้น ลงไปในไฟนิรันดรที่ได้เตรียมไว้ให้ปีศาจและพรรคพวกของมัน” (เทียบ มธ. 25:41–43) ดังนั้น ทุกสิ่งที่เราทำกับผู้อื่น ก็เท่ากับว่าเราได้ทำต่อพระเยซูเจ้าเอง และสิ่งที่เราเลือกปฏิบัติหรือเลือกไม่ปฏิบัติ ก็เท่ากับเราทำกับพระเยซูเจ้าเช่นเดียวกัน

 

                  4. การพิพากษาของพระเจ้า อาจทำให้เราเกิดความกลัว แต่ความหวังในพระคริสตเจ้าจะปกป้องเราจากความกลัวพระเจ้าทรงเป็นบิดาแห่งความเมตตาและความรัก พระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 ตรัสว่า “ในช่วงเวลาแห่งการพิพากษานั้น เราจะได้พบและซึมซับพลังแห่งความรักของพระเจ้าอย่างท่วมท้น เหนือสิ่งชั่วร้ายทั้งในโลกและในตัวเรา ความทุกข์ทรมานของความรัก จะกลายเป็นความรอดพ้นและความยินดีแก่เรา” การพิพากษาจึงเกี่ยวข้องกับความรอดที่เราหวังไว้และพระเยซูเจ้ามีชัยชนะเพื่อเรา โดยอาศัยการสิ้นพระชนม์ และการกลับคืนชีพของพระองค์ ซึ่งหมายถึงการนำเราไปสู่การพบกับพระเจ้าตลอดไป (เทียบ Spes Non Confundit 22)

 

                 5. ความเชื่อในเรื่องการพิพากษานี้ ช่วยกระตุ้นเตือนให้เราดำเนินชีวิตอย่างมีความหวัง สิ่งที่เราจะต้องปฏิบัติ คือ ดำเนินชีวิตด้วยความรักต่อพระเจ้าและต่อเพื่อนมนุษย์ และหวังในพระเมตตาของพระองค์ สิ่งที่สำคัญอีกประการหนึ่งที่เราสามารถทำได้ คือการสวดภาวนา เพื่อว่า เมื่อสิ้นสุดการจาริกแสวงบุญของเราแต่ละคนในโลกนี้แล้ว ความสัมพันธ์เป็นหนึ่งเดียวกับผู้ศักดิ์สิทธิ์ และความผูกพันที่มีร่วมกัน ทำให้เราเป็นหนึ่งเดียวกันในพระคริสตเจ้าด้วยพลังแห่งการอธิษฐานภาวนา จะช่วยเราให้ได้รับพระเมตตาจากพระเจ้าอย่างเต็มเปี่ยม (เทียบ Spes Non Confundit 22)

 

 

ก. ข้อควรจำ                   
            1. เราทุกคนต้องผ่านความตายและชีวิตหลังจากความตาย และจะถูกพิพากษาจากพระเจ้า
            2. ตามความเชื่อของเรา การพิพากษาจะมี 2 ครั้ง คือ การพิพากษาส่วนบุคคล เกิดขึ้นตั้งแต่บุคคลนั้นสิ้นใจ และการพิพากษาครั้งสุดท้าย จะเกิดขึ้นในวันสุดท้ายคือวันสิ้นโลก เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมาอีกครั้งหนึ่ง (CCC1020-1022)
            3. พระเยซูคริสตเจ้าจะทรงพิพากษาเราจากสิ่งที่เรากระทำต่อผู้อื่น
            4. การพิพากษาทำให้เราเกิดความกลัว แต่ความหวังในพระคริสตเจ้าจะปกป้องเราจากความกลัว
            5. เมื่อสิ้นสุดการจาริกแสวงบุญของเราแต่ละคนในโลกนี้แล้ว ความสัมพันธ์เป็นหนึ่งเดียวกับผู้ศักดิ์สิทธิ์ และความผูกพันที่มีร่วมกัน ทำให้เราเป็นหนึ่งเดียวกันในพระคริสตเจ้า ด้วยพลังแห่งการอธิษฐานภาวนาจะช่วยให้เราได้รับพระเมตตาจากพระเจ้าอย่างเต็มเปี่ยม

 

ข. กิจกรรม  ร้องเพลง “สวรรค์สดใส” เพลงประกอบการสอนคำสอน อัลบั้ม “รักที่อบอุ่น”
                     เพื่อเป็นการตอกย้ำเรื่องการพิพากษาของพระเจ้า ใครทำดีได้ไปสวรรค์ ใครทำชั่วต้องไปนรก

เพลงสวรรค์สดใส
ที่สวรรค์สว่างสดใส ความสุขยินดีมีมากมาย
ภาระหนักน้ำตา พระองค์ทรงเช็ดให้ ที่สวรรค์สว่างสดใส
ที่นรกนั้นมืดตึ๊ดตื๋อ ความสุขยินดีไม่มีเลย
ภาระหนักน้ำตา ไม่มีใครเช็ดให้ ที่นรกนั้นมืดตึ๊ดตื๋อ

 

 

 

ค. การบ้าน                                   

        1. ให้พิจารณามโนธรรมทุกวันก่อนนอน ทั้งสิ่งที่ดีและไม่ดีที่ได้กระทำ และปรับปรุงตนเองเสมอ
        2. เขียนคำภาวนาถวายสิ่งดีแด่พระเจ้า และขอโทษพระองค์ในสิ่งที่เราได้กระทำให้พระองค์เสียใจ

 

       ::: Download บทเรียนที่ 18 ::

 

 

ปีศักดิ์สิทธิ์ ค.ศ. 2025

ปีศักดิ์สิทธิ์ ค.ศ. 2025 "บรรดาผู้จาริกแห่งความหวัง"

เนื้อหาและบทเรียน