ศูนย์คริสตศาสนธรรมสังฆมณฑลราชบุรี
CATECHETICAL CENTER OF RATCHABURI DIOCCESE

บทที่  26 ศีลแก้บาป

จุดมุ่งหมาย     เพื่อให้ผู้เรียนรื้อฟื้นความรู้และการปฏิบัติเกี่ยวกับศีลแก้บาป ซึ่งมีจุดสำคัญอยู่ที่การคืนดีกับพระเป็นเจ้า และกับเพื่อนมนุษย์

ขั้นที่ 1  กิจกรรม       ร้องเพลง “สายสัมผัส”
สายสัมผัส
1. พระสัมผัสเราทุกวัน  พระยึดมั่นในพระสัญญา
อยู่ที่ใดทรงเมตตาปรารถนาพาสู่ราชัย จึงสัมผัสเราทุกวัน

รับ อาศัยความตายเสียงร้องไห้เศร้าโศก
สิ่งนี้ได้ช่วยโลกที่มืดมนพ้นสู่แสงสว่าง

2. ขอสัมผัสพระทุกวัน  ขอผูกพันมั่นฤทัย
ข้าได้พบองค์ทรงชัยสุขเพียงใดใจรู้ดี จึงสัมผัสพระทุกวัน

3. ใครสัมผัสพระทุกวัน   เป็นสัมพันธ์ว่ารักพระจริง
ยามได้พบและได้พักพิงไม่ประวิงในสิ่งทุกข์ทน  จึงสัมผัสพระทุกวัน

เสร็จแล้วให้ลองนับดูว่ามีคำ “สัมผัส” ในเพลงนี้กี่คำ
คำว่า “สัมผัส” แปลว่าอะไร ?
ธรรมเนียมสากลใช้การ “สัมผัสมือ” (จับมือ) เป็นเครื่องหมายของการทักทายและมิตรภาพ
ธรรมเนียมไทยใช้การ “ไหว้”
ครูฝึกผู้เรียนให้ไหว้ให้ถูกต้อง เช่น ไหว้พระ ไหว้ผู้ใหญ่

ขั้นที่ 2  วิเคราะห์

ครูถามผู้เรียนว่า
- เราไหว้พระเมื่อไร ? ทำไม ?
- เราไหว้ผู้ใหญ่เมื่อไร ? ทำไม ?
- ผู้ใหญ่ที่เราต้องไหว้มีใครบ้าง ?
- คนที่ไม่ถูกกัน เขาไหว้กันหรือไม่ ? ทำไม ?
- เราไม่ถูกกับใครบ้างหรือเปล่า ? เมื่อไม่ถูกกันแล้วทำอย่างไรต่อกัน ? ทำเช่นนี้ดีหรือไม่ ?
- ทางที่ดีควรทำอย่างไร ?

สรุป     การเป็นมิตรกันเป็นสิ่งที่ดี ถ้าเราไม่ถูกกับใคร ทางที่ดีควรคืนดีกันเสียเพื่อความสุขของทั้งสองฝ่าย

ขั้นที่ 3  คำสอน

        1. เมื่อเราทำบาปเราก็ไม่ถูกกับพระเป็นเจ้า เราตั้งตนเป็นศัตรูกับพระองค์ การเป็นศัตรูกับเพื่อนมนุษย์ด้วยกันก็นับว่าแย่แล้ว ถ้าเป็นศัตรูกับพระเป็นเจ้าก็ยิ่งแย่กว่าอีก เพราะพระองค์ทรงเป็นองค์ความสุข ความยินดีของเราทั้งในชีวิตนี้และในชีวิตหน้าด้วย ฉะนั้นทางที่ดีเราควรจะรีบไปคืนดีกับพระเป็นเจ้าโดยเร็ว

         2. เราคืนดีกับพระเป็นเจ้าได้โดยทางศีลแก้บาป ซึ่งเป็นศีลศักดิ์สิทธิ์ที่พระเยซูคริสต์ทรงตั้งขึ้นเพื่อช่วยเราให้คืนดีกับพระเป็นเจ้าและกับพระศาสนจักรของพระองค์ เราจึงเรียกศีลแก้บาปว่าเป็นศีลแห่งการคืนดี หรือศีลแห่งการเมตตากรุณาของพระเป็นเจ้า เพราะโดยทางศีลแก้บาปนี้พระเป็นเจ้าทรงอภัยบาปความผิดของเราจนหมดสิ้น ทำให้วิญญาณของเราสะอาดบริสุทธิ์เหมือนเมื่อรับศีลล้างบาปอีกครั้งหนึ่ง พระเป็นเจ้าตรัสในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเก่าว่า “มาเถิด” ให้เรามาสู้ความกัน ถึงบาปของเจ้าจะเหมือนสีแดงเข้มก็จะขาวอย่างหิมะ ถึงมันจะแดงอย่างผ้าแดง ก็จะขาวสะอาดอย่างขนแกะ” (อสย. 1,18)
             พระเยซูคริสต์ทรงตั้งศีลแก้บาปโดยมอบอำนาจอภัยบาปให้แก้พวกสาวกตรัสว่า “จงรับพระจิตเจ้า ถ้าท่านยกบาปความผิดของผู้ใด บาปความผิดของผู้นั้นก็จะถูกยกเสีย ถ้าท่านไม่ยกบาปความผิดของผู้ใด บาปความผิดของผู้นั้นก็ยังคงติดตัวเขาอยู่ต่อไป” (ยน. 20,22-23)

3. หัวใจของศีลแก้บาปอยู่ที่การเป็นทุกข์เสียใจ เกิดการกลับใจที่จะไม่กระทำบาปความผิดดังกล่าวอีก พระเป็นเจ้าก็ทรงอภัยบาปความผิดนั้น แต่เราก็ยังต้องเข้าพึ่งพิธีการแห่งศีลแก้บาปตามที่พระศาสนจักรผู้ได้รับมอบอำนาจจากพระเยซูคริสต์จะเป็นผู้กำหนด กล่าวคือ
      1) ต้องพิจารณาบาปตามความสมควร คือเตรียมตัวเตรียมใจรับศีลแก้บาปด้วยการสวดภาวนา พิจารณาบาปที่ได้กระทำนับตั้งแต่รับศีลแก้บาปครั้งสุดท้ายเป็นต้นมา
      2) ต้องเป็นทุกข์เสียใจที่ได้กระทำบาปเป็นที่ขัดเคืองพระทัยของพระเป็นเจ้าผู้ทรงคุณความดีต่อเราอย่างเหลือล้น พร้อมทั้งตั้งใจที่จะไม่กระทำเช่นนั้นอีกต่อไป
      3) ต้องไปสารภาพบาปที่ได้กระทำนั้นต่อพระสงฆ์ บาปที่ต้องสารภาพได้แก่ บาปหนักทุกข้อ พร้อมกับจำนวนครั้งและสภาพแวดล้อมที่ทำให้บาปนั้นเปลี่ยนแปลงไปด้วย ส่วนบาปเบานั้นไม่มีข้อบังคับให้สารภาพ แต่ถ้าจะสารภาพด้วยก็เป็นสิ่งที่ดี ตามปกติเมื่อสารภาพบาปอย่างถูกต้องครบถ้วนแล้ว พระสงฆ์ก็จะอภัยบาปให้
      4) ต้องใช้โทษบาปตามที่พระสงฆ์กำหนด และจะเป็นการดียิ่งถ้าเราจะสมัครใจทำการใช้โทษบาปอย่างอื่นเพิ่มเติมด้วย

หมายเหตุ บาปบางประการมีพันธะผูกพันที่ต้องกระทำตามมาแม้ว่าพระสงฆ์จะอภัยให้แล้วก็ตาม ได้แก่
               1) บาปผิดต่อความยุติธรรม คือ ประทุษร้ายต่อทรัพย์สินของผู้อื่น เช่น จี้ ปล้น ขโมย ทำข้าวของผู้อื่นเสียหาย หรือ ประทุษร้ายต่อชื่อเสียงของผู้อื่น เช่น นินทา ใส่ความ ประจาน ทั้งหมดเหล่านี้ผู้ไปรับศีลแก้บาปต้องไปคืนทรัพย์สิ่งของหรือชื่อเสียงให้แก่เจ้าของ หรือต้องชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการกระทำของตนเต็มความสามารถ หรืออย่างน้อยต้องตั้งใจกระทำเช่นนั้นเมื่อมีโอกาส
                2) บาปที่พระสงฆ์อภัยให้แล้วแต่ยังไม่ได้สารภาพ คือ การรับศีลแก้บาปในยามฉุกเฉิน หรือในกรณีพิเศษ หรือบาปที่ลืมสารภาพแล้วมาจำได้ภายหลัง เหล่านี้ก็ต้องไปสารภาพในการแก้บาปครั้งต่อไป แม้ว่าจะได้รับการอภัยจากพระสงฆ์แล้ว

          4. เรามนุษย์มีความอ่อนแอ กระทำบาปความผิดอยู่บ่อยๆจนได้ชื่อว่าเราทุกคนเป็นคนบาป ต้องการการกลับใจอยู่เสมอ พระศาสนจักรเล็งเห็นความสำคัญประการนี้จึงบัญญัติให้คริสตชนรับศีลแก้บาปอย่างน้อยปีละครั้ง (พระบัญญัติของพระศาสนจักร ประการที่ 3 ) เจตนามิใช่เพื่อให้ถือตามอักษร แต่เพื่อให้เราปับศีลแก้บาปบ่อยๆ จะทำให้เราได้รับพระหรรษทานเฉพาะของศีลแก้บาปนี้ คือการเยียวยารักษาหายจากโรคฝ่ายวิญญาณ และช่วยเสริมกำลังให้เข้มแข็ง ไม่หันไปกระทำบาปความผิดอีก

              ศีลแก้บาปเป็นศีลแห่งความเมตตากรุณา มีแต่การให้อภัยและการต้อนรับกลับมาสู่อ้อมกอดของพระเป็นเจ้า พระบิดาผู้ใจดี (เทียบ ลก. 15 นิทานเปรียบเทียบเรื่อง ลูกล้างผลาญ) เราจึงไม่ควรกลัวที่จะมารับศีลแก้บาปนี้ ขอเพียงว่าเราเข้ามารับด้วยความจริงใจไม่มีอะไรแอบแฝง

ขั้นที่ 4  ปฏิบัติ

  • ข้อควรจำ
    1. ศีลแก้บาปคือศีลศักดิ์สิทธิ์ที่พระเยซูคริสต์ทรงตั้งขึ้นเพื่ออภัยบาปที่เราได้กระทำ และนำเรามาคืนดีกับพระเป็นเจ้าและพระศาสนจักร
    2. พระเป็นเจ้าทรงอภัยบาปของเราเสมอ เมื่อเราเป็นทุกข์เสียใจ เพราะพระองค์จะทรงเมตตา
    3. เราจงเข้ามารับศีลแก้บาปบ่อยๆเพื่อจะได้รับพระหรรษทานเฉพาะของศีลนี้ คือการเยียวยารักษาวิญญาณให้เข้มแข็ง มีกำลังต่อสู้กับกิเลสตัณหาที่ชักพาไปให้ทำบาปได้
  • กิจกรรม ทำวจนพิธีกรรมขอสมาโทษบาป ตามขั้นตอนต่อไปนี้
    1. ขับร้อง หรือ สวดภาวนา
    2. บทอ่าน อฟ.4,25 – 32
    3. โอวาทเตือนใจ
    4. พิจานณามโนธรรม
    5. สวดบทแสดงความทุกข์
    6. อวยพรด้วยไม้กางเขน

    7. ร้องเพลง “สายสัมผัส”
    “สายสัมผัส”
    1. พระสัมผัสเราทุกวัน  พระยึดมั่นในพระสัญญา
    อยู่ที่ใดทรงเมตตาปรารถนาพาสู่ราชัย จึงสัมผัสเราทุกวัน

    รับ อาศัยความตายเสียงร้องไห้เศร้าโศก
    สิ่งนี้ได้ช่วยโลกที่มืดมนพ้นสู่แสงสว่าง

    2. ขอสัมผัสพระทุกวัน   ขอผูกพันมั่นฤทัย
    ข้าได้พบองค์ทรงชัยสุขเพียงใดใจรู้ดี จึงสัมผัสพระทุกวัน

    3. ใครสัมผัสพระทุกวัน  เป็นสัมพันธ์ว่ารักพระจริง
    ยามได้พบและได้พักพิงไม่ประวิงในสิ่งทุกข์ทน  จึงสัมผัสพระทุกวัน

เนื้อหาและบทเรียน

Download พิธีศีลศักดิ์สิทธิ์สำหรับเด็กและเยาวชน

Download พิธีโปรดศีลศักดิ์สิทธิ์