วัย 6 - 7 ขวบ เป็นวัยที่พร้อมที่จะรับพระหรรษทาน
8. วัย 6 - 7 ขวบ เป็นวัยที่พร้อมที่จะรับพระหรรษทาน


1. เด็กในวัยนี้มีความพร้อมที่จะรับพระหรรษทานจากพระเจ้า
        - เขามีความเชื่อแบบซื่อ ๆ ตรงไปตรงมา และออกมาจากใจตามธรรมชาติไม่เสแสร้ง ซึ่งบางครั้งเราผู้ใหญ่อาจนึกอิจฉาพวกเขาบ้างก็ได้ สำหรับพวกเขาแล้วโลกที่มองไม่เห็นมีความหมายอย่างมากเท่า ๆ กับโลกที่พวกเขามองเห็นได้

        - เด็ก ๆ อยากที่จะมีความรักและอยากให้มีคนรักเขา เขาต้องการการปกป้องคุ้มครองและชี้นำทางเขา เขาจึงสามารถรักและนบนอบเชื่อฟังพระเจ้าได้ เพราะพระเจ้าจะทรงเป็นบุคคลที่เขาสามารถรักและเขาสามารถได้รับความรักจากพระเจ้าได้เช่นเดียวกัน

        - เด็ก ๆ พูดกับพระเจ้าเหมือนกับพูดกับใครบางคนที่มีชีวิตอยู่จริง เขามีความสุขที่ได้ภาวนาสรรเสริญพระเจ้า เขารู้ว่าอะไรเป็นเรื่องที่น่าพิศวงสำหรับเขา เขามีชีวิตหรือปฏิบัติตนโดยสำนึกถึงการประทับอยู่ของพระเจ้าแบบธรรมชาติ

        - เขาเป็นคนใจดีและกระตือรือร้น เขาพร้อมที่จะเริ่มต้นและลืมสิ่งที่เขาผิดพลาดไป เขาดำเนินชีวิตด้วยความหวังอย่างแท้จริง (เป็นแบบอย่างการดำเนินชีวิตด้วยความหวังสำหรับเราผู้ใหญ่)

เมื่อเข้าสู่วัย 10 หรือ 12 ขวบ เขาจะเริ่มเปลี่ยนแปลง
        - เด็กในวัยนี้เริ่มเข้าสู่โลกที่กว้างกว่าเมื่อตอนเด็ก เขาเริ่มมีจินตนาการในฐานะการเป็นผู้สร้าง ผู้ล่า นักต่อสู้ ฯลฯ  ดังนั้นจึงยากที่จะมีสมาธิในเรื่องใดเรื่องหนึ่งเหมือนในวัยที่ผ่านมา

        - เขาเริ่มเห็นว่าการนบนอบเป็นหน้าที่ประการหนึ่ง เป็นการถือตามกฎระเบียบ เมื่อพระเจ้าทรงสั่งและทุกคนต้องนบนอบเชื่อฟัง

        - เขารู้สึกว่า พระเจ้าทรงอยู่ห่างไกลจากตัวเขาและความคิดของเขามาก เขาเริ่มสะดุดหรือสงสัยกับธรรมล้ำลึกต่าง ๆ

        - การภาวนาเป็นแบบพิธีการหรือทำตามรูปแบบ (Formal) เป็นช่วงวัยแห่งการทำตามความเคยชิน ซึ่งมีทั้งข้อดีและไม่ดี กล่าวคือศาสนาเป็นเรื่องที่ต้องทำตาม ๆ กันไป ทำตามที่เคยกระทำมา เราจะต้องทำทุกอย่างเหมือนที่คนอื่นเขาทำกัน

        - เมื่อเขาเริ่มโตขึ้นและเริ่มเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง เขาจะรู้สึกว่า ทำไมจะต้องทำตามผู้อื่น หรือบางครั้งก็เบื่อหน่ายที่จะปฏิบัติตามสิ่งที่เคยกระทำมา จึงหันหนีหรือล้มเลิกไป

2. ในขณะเดียวกันพวกเขามีความพร้อมของการเป็นผู้ใหญ่
        - เด็กในวัย 7 ขวบมีเหตุผลของเขา เมื่อมโนธรรมได้รับการปลุกขึ้นมาแล้ว  สิ่งที่คุณพ่อคุณแม่เคยสอนไว้ว่าถูกหรือผิดนั้น เขาจะต้องตรวจสอบด้วยความคิดของเขามากยิ่งขึ้น ตอนนี้เขาเริ่มคิดว่าสิ่งที่ถูกต้องจะต้องมาจากความเข้าใจได้ของตัวเขาเอง หรือมีเหตุผลที่ยอมรับได้ เขาเริ่มคิดว่าตัวเขาเข้าไปเกี่ยวข้องหรือผูกพันกับเรื่องต่าง ๆ อย่างจริงจังมากยิ่งขึ้น มีมิติด้านจิตวิญญาณมากยิ่งขึ้น มีชีวิตภายในมากยิ่งขึ้น ถ้าเขาเลือกว่าสิ่งใดถูกต้อง นั้นไม่ใช่เพียงเพราะว่าคุณพ่อหรือคุณแม่บอกหรือสอนเท่านั้น แต่ได้ผ่านการกลั่นกรองจากตัวของเขามาแล้วด้วย เช่นเดียวกับการตอบรับหรือการปฏิเสธพระเจ้า

        - เมื่อเรามองดูเด็ก ๆ ของเราด้วยความเชื่อของเราให้เราพิจารณาถึงความสำคัญของปรากฏการณ์เช่นนี้ เมื่อเริ่มแรกก่อนที่จะตอบรับหรือปฏิเสธพระเจ้านั้น เขาไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น มันยากที่จะบอก แต่เรื่องนี้มันจะเกิดขึ้นจากส่วนลึกแห่งจิตวิญญาณของเขา ดังนั้น ในช่วงเวลานี้ พระศาสนจักรจึงควรให้ความสำคัญกับพวกเขาและปูพื้นฐานความเชื่อในศีลศักดิ์สิทธิ์ประการนี้ให้กับพวกเขา หลังจากนั้นเขาจึงจะมีพื้นฐานที่ดีสำหรับการเรียนรู้และการเข้ารับศีลศักดิ์สิทธิ์ประการอื่น ๆ ต่อไป

ให้เราคิดถึงอนาคตด้วย
        - เด็ก ๆ เรียนรู้โดยอาศัยแบบฉบับของเรา เราช่วยเขาได้ด้วยการปฏิบัติตนอย่างสม่ำเสมอและจริงจัง ไม่ใช่ไปรับศีลฯเพราะเป็นความเคยชิน หรือต้องปฏิบัติตามกฎพระศาสนจักรเท่านั้น

        - เด็ก ๆ จะต้องพัฒนาการสวดภาวนาของเขา ต้องสอนให้เขารู้จักการภาวนาก่อนและหลังการรับศีลมหาสนิท ควรไปรับศีลฯพร้อมกับเขา มิเช่นนั้นเมื่อโตขึ้นเขาอาจจะละทิ้งไป