"เห็นเถาองุ่นแล้วคิดถึงอะไร"
ข้อคิดวันอาทิตย์ที่ 6 พฤษภาคม 2012
 

        วันนี้ขอทดสอบความรู้เรืองสัญลักษณ์กันสักหน่อย
        ถ้าเราขับรถถึงทางแยก เจอไฟแดง “ไฟแดง” หมายถึงอะไร ทุกคนคงรู้ว่ารถที่วิ่งมาถึงตรงนั้นต้องหยุด
        ถ้าเราเห็น ธงที่มีดวงอาทิตย์อยู่ตรงกลาง นี้เป็นสัญลักษณ์หมายถึงประเทศอะไร(ญี่ปุ่น)
        ถ้าเราเห็นเครื่องหมาย จานกับช้อน หมายถึงอะไร(ร้านอาหาร)
        และถ้าเราเห็น ต้นองุ่นล่ะ เราคิดถึงอะไร.....

             พระคัมภีร์ใช้สัญลักษณ์ตามธรรมชาติเพื่อสื่อให้เราเข้าใจในเรื่องที่เหนือธรรมชาติ วันนี้เราได้ฟังคำสอนของพระเยซูเจ้าที่ง่ายๆแต่เต็มไปด้วยความหมายสำหรับชีวิตของเรา

              “เราเป็นเถาองุ่น ท่านทั้งหลายเป็นกิ่งก้าน ผู้ที่ดำรงอยู่ในเรา และเราดำรงอยู่ในเขา ก็ย่อมเกิดผลมาก เพราะถ้าไม่มีเรา ท่านก็ทำอะไรไม่ได้เลย”
               ถ้าเรามองออกไปรอบๆตัวเรา เราจะเห็นความจริงนี้ กิ่งก้านใดที่ไม่ติดกับลำต้นก็จะต้องเหี่ยวแห้งและตายไป จากธรรมชาติเช่นนี้พระเยซูเจ้าต้องการสอนเราว่า เราต้องยึดติดกับพระองค์ ติดแบบแนบแน่น ไม่ใช่แค่เกาะหรือเกี่ยวแค่ภายนอกเท่านั้น
ทำอย่างไรเพื่อเราจะได้ยึดติดเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์

          ขอเสนอ 3 วิธีการ คือ หนึ่ง การมาร่วมชุมนุมกันในพระนามของพระเยซูเจ้า สอง การสดับฟังพระวาจาของพระองค์ และ สาม การเข้ารับศีลมหาสนิทซึ่งเป็นพระกายและพระโลหิตของพระเยซูเจ้า

         ในเรื่องของการมาร่วมชุมนุมกันในพระนามของพระเยซูเจ้านั้น พระองค์ทรงสอนสานุศิษย์ของพระองค์ว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านอีกว่า ถ้าท่านสองคนในโลกนี้พร้อมใจกันอ้อนวอนขอสิ่งหนึ่งสิ่งใด พระบิดาของเราผู้สถิตใน สวรรค์จะประทานให้ เพราะว่า ที่ใดมีสองหรือสามคนชุมนุมกันในนามของเรา เราอยู่ที่นั่นท่ามกลางพวกเขา” (มธ 18:19-20) ดังนั้นถ้าที่ใด ครอบครัวใด สังคมใดสวดภาวนาด้วยกัน พระเจ้าก็จะทรงประทับอยู่ที่นั้น

          ในเรื่องของการสดับฟังพระวาจาของพระเจ้านั้น พระเยซูเจ้าทรงสอนเราว่า “ผู้ใดฟังท่าน ผู้นั้นฟังเรา”(ลก 10:16) ดังนั้นเมื่อเรารับฟังพระวาจาของพระเจ้าและการอธิบายพระคัมภีร์หรือเมื่อเราเรียนพระคัมภีร์ เราเองก็ได้รับพระพรตามพระสัญญาของพระองค์

           ส่วนเรื่องการรับศีลมหาสนิท พระเยซูเจ้าทรงสอนเราว่า “ผู้ที่กินเนื้อของเรา และดื่มโลหิตของเราก็ดำรงอยู่ในเราและเราก็ดำรงอยู่ในเขา”(ยน 6:56) เราเข้าชิดสนิทเป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูเจ้าก็ด้วยการเข้ารับเอาพระกายและพระโลหิตของพระองค์ให้มาเป็นเลือดเป็นเนื้อของเรา

            นี้แหละคือ 3 วิธีการที่ทำให้เราเป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูเจ้า คือ การมาร่วมชุมนุมกันในพระนามของพระเยซูเจ้า การสดับฟังพระวาจาของพระองค์ และการเข้ารับศีลมหาสนิทซึ่งเป็นพระกายและพระโลหิตของพระเยซูเจ้า

           เมื่อพูดถึงเรื่องเหล่านี้ทำให้นึกถึงบุคคลจำนวนมากที่มักจะพูดหรือคิดว่า “พระเจ้าอยู่ทุกหนทุกแห่ง ไม่จำเป็นที่จะต้องมาชุมนุมกันที่วัดเลย เราสามารถพบพระองค์ได้ทุกที่นั้นแหละ” หรือไม่ก็บอกว่า “เรื่องของพระเยซูเจ้านั้นจบไปตั้งนานแล้ว พระองค์ตายไปตั้งสองพันปีแล้ว”

           ให้เราพิจารณาเรื่องของนักบุญเปาโลที่บันทึกอยู่ในหนังสือกิจการของอัครสาวก
            “ขณะที่เขาเดินทางใกล้ถึงเมืองดามัสกัส ทันใดนั้นมีแสงสว่างจากท้องฟ้าล้อมรอบตัวเขาไว้ เขาล้มลงที่พื้นดินและได้ยินเสียงกล่าวว่า “เซาโล เซาโล ท่านเบียดเบียนเราทำไม” เซาโลจึงถามว่า “พระเจ้าข้า พระองค์คือใคร” พระองค์ตรัสว่า “เราคือเยซู ซึ่งท่านกำลังเบียดเบียน” (กจ 9:3-5)

             เปาโลสับสนมาก เพราะเขาไม่ได้เบียดเบียนพระเยซูเจ้า เขาทำร้ายผู้ที่ศรัทธาต่อพระองค์เท่านั้น
             ทำไม...ทั้งนี้ก็เพราะว่าพระเยซูเจ้าและผู้ศรัทธาต่อพระองค์นั้นเป็นหนึ่งเดียวกัน ความเลื่อมใสศรัทธาต่อกันนี้เป็นเหมือนศีรษะกับร่างกาย ความพยายามแยกพระเยซูเจ้าออกจากผู้ศรัทธาของพระองค์นั้น ก็เหมือนกับการแยกศีรษะออกจากร่างกาย

              และต่อมาก็เป็นเปาโลเองที่เขียนคำสอนที่ว่า “พระองค์ทรงเป็นศีรษะของร่างกาย คือพระศาสนจักร พระองค์ทรงเป็นปฐมเหตุ ทรงเป็นบุคคลแรกในบรรดาผู้ตายที่กลับคืนชีพ ทั้งนี้เพื่อพระองค์จะได้ทรงเป็นเอกในทุกสิ่ง” (คส 1:18)

              ดังนั้นถ้าเราต้องการพบพระเยซูเจ้า เราต้องมาวัดด้วยกัน เราต้องเข้ามาเป็นสมาชิกของพระศาสนจักร เราต้องสวดภาวนาด้วยกัน อ่านพระคัมภีร์ ร่วมพิธีมิสซาฯและรับศีลมหาสนิทอย่างสม่ำเสมอ

              นอกจากนั้นแล้ว เราจะต้องทำให้พระเยซูเจ้าเป็นที่ปรากฏต่อสายตาของคนอื่นๆด้วย(นี้คือมิติด้านการแพร่ธรรมของเรา)
ครูคำสอนท่านหนึ่งพูดกับเด็กๆว่า “ถ้าหากเกิดมีระเบิดลูกใหญ่มาทำลายโลกของเรา ทุกคนตายหมด เหลือแต่พวกเราที่นี้เท่านั้นที่รอด แล้วพระศาสนจักรของพระเยซูเจ้าจะอยู่ที่ไหน”

              เด็กๆพากันคิดอยู่สักพักหนึ่ง แล้วพวกเขาก็เห็นแสงสว่าง พากันตอบว่า “พระศาสนจักรของพระเยซูเจ้าก็อยู่ในห้องนี้แหละ เพราะพวกเราคือพระศาสนจักรนั้นเอง”
ถูกต้องทีเดียว

              พระศาสนจักรไม่ได้อยู่ที่ “สถานที่” ที่คนมาชุมนุมกัน แต่อยู่ที่ “การชุมนุมกัน” ของผู้ที่มีความเชื่อในพระเยซูเจ้า
              พระศาสนจักรไม่ใช่ “สถานที่” ที่คนมาชุมนุมกันเพื่อภาวนา แต่อยู่ที่ “บุคคล” ที่มารวมตัวกันเพื่อภาวนา
              พระศาสนจักรจะเกิดขึ้นอย่างแท้จริง ก็ต่อเมื่อมีคนมาร่วมชุมนุมกัน
              พระศาสนจักรเหมือนกับปังกับเหล้าองุ่นที่เราใช้ในพิธีมิสซาฯ มาจากข้าวสาลี่และองุ่นจำนวนมากถูกหลอมรวมกัน
              เช่นเดียวกับพวกเราที่นี่
              การมาร่วมชุมนุมกันของพวกเรา ทำให้เกิดพระศาสนจักรของพระเยซูเจ้า
              การมาร่วมตัวกันที่วัดแห่งนี้ทำให้พระเยซูเจ้าได้ปรากฏตัวตนให้คนอื่นๆได้เห็น
              การมาวัดของพวกเราทำให้ทุกคนได้รับรู้ว่าพระเยซูเจ้าได้ทรงกลับคืนชีพจริงแท้และประทับอยู่ท่ามกลางเรา
             และนี้แหละเป็นคำสอนของพระเยซูเจ้าที่ต่อเนื่องมาจากคำเทศนาเรื่องความสุขที่แท้จริง คือ “ท่านทั้งหลายเป็นแสงสว่างส่องโลก เมืองที่ตั้งอยู่บนภูเขาจะไม่ถูกปิดบัง...ในทำนองเดียวกัน แสงสว่างของท่านต้องส่องแสงต่อหน้ามนุษย์  เพื่อคนทั้งหลายจะได้เห็นกิจการดีของท่าน และสรรเสริญพระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์(มธ 5:14,16)


            ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงเป็นถาองุ่นและพวกลูกเป็นกิ่งก้าน พวกลูกอยู่ห่างหรือแยกจากพระองค์ไม่ได้ ขอพระองค์ทรงเหนี่ยวนำลูกให้ยึดติดกับพระองค์อยู่เสมอ อย่า ได้พรากจากพระองค์ไปแม้สักนาทีเดียว เพื่อให้ชีวิตของลูกได้บังเกิดผล และขอให้การมาวัดของพวกลูกเป็นการประกาศการกลับฟื้นคืนชีพของพระองค์ให้แก่ปวงชนด้วยเทอญ
(แนวคิดของคุณพ่อ Mark Link,S.J.)