เราต้องเชื่อฟังพระเจ้ายิ่งกว่าเชื่อฟังมนุษย์ เพราะพระองค์ทรงรักเรา ไม่ทรงต้องการให้เราเสียคน แต่ช่วยเราให้เอาวิญญาณรอดไปสวรรค์
ให้พระวาจาพระเจ้านำชีวิตเราในการเชื่อฟังพระองค์
โนอาห์กระทำเช่นนี้ เขาทำตามที่พระเจ้าทรงบัญชาทุกประการ (ปฐก. 6:22)
ท่านจะต้องติดตามพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน และยำเกรงพระองค์แต่ผู้เดียว ท่านจะต้องปฏิบัติตามบทบัญญัติ เชื่อฟังพระสุรเสียง รับใช้พระองค์ และซื่อสัตย์ต่อพระองค์เท่านั้น (ฉธบ. 13:4)
การเชื่อฟังย่อมดีกว่าการถวายบูชา การอ่อนน้อมย่อมดีกว่าไขมันแกะ (1ซมอ. 15:22)
เราเป็นพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน จงปฏิบัติตามข้อกำหนดของเรา จงรักษาคำวินิจฉัยของเราและปฏิบัติตาม (อสค. 20:19)
อย่ากลัวผู้ที่ฆ่าได้แต่กาย แต่ไม่อาจฆ่าวิญญาณได้ จงกลัวผู้ที่ทำลายทั้งกายและวิญญาณให้พินาศไปในนรก (มธ. 10:28)
ผู้ที่เชื่อและรับศีลล้างบาปก็จะรอดพ้น ผู้ที่ไม่เชื่อจะถูกตัดสินลงโทษ (มก. 16:16)
ถ้าท่านทั้งหลายรักเรา ท่านจะปฏิบัติตามบทบัญญัติของเรา (ยน. 14:15)
เปโตรและบรรดาอัครสาวกตอบว่า “เราต้องเชื่อฟังพระเจ้ายิ่งกว่าเชื่อฟังมนุษย์” (กจ. 5:29)
ทุกคนที่ยำเกรงพระองค์และปฏิบัติความชอบธรรม ไม่ว่าจะมีเชื้อชาติใด ย่อมเป็นที่พอพระทัยของพระองค์ (กจ. 10:35)
เพราะผู้ที่พระเจ้าจะทรงบันดาลความชอบธรรมนั้น ไม่ใช่ผู้ที่ได้ยินได้ฟังธรรมบัญญัติเท่านั้น แต่เป็นผู้ที่ปฏิบัติตามธรรมบัญญัติด้วย (รม. 2:13)
มวลมนุษย์กลายเป็นคนบาปเพราะความไม่เชื่อฟังของมนุษย์คนเดียวฉันใด มวลมนุษย์ก็จะเป็นผู้ชอบธรรมเพราะความเชื่อฟังของมนุษย์คนเดียวฉันนั้น (รม. 5:19)
จุดหมายของธรรมบัญญัติก็คือองค์พระคริสตเจ้า ดังนั้น ทุกคนที่มีความเชื่อจะได้รับความชอบธรรม (รม. 10:4)
เพราะถ้าท่านประกาศด้วยปากว่า พระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า และมีความเชื่อในใจว่า พระเจ้าทรงบันดาลให้พระเยซูเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตายท่านก็จะรอดพ้น (รม. 10:9)
ทุกคนจงนอบน้อมต่อผู้มีอำนาจปกครอง เพราะไม่มีอำนาจใดที่ไม่มาจากพระเจ้า และอำนาจทั้งหลายที่มีอยู่ก็ได้รับจากพระเจ้าทั้งสิ้น (รม. 13:1)
เรามีความเชื่อในพระคริสตเยซูเพื่อจะได้เป็นผู้ชอบธรรมโดยอาศัยความเชื่อในพระคริสตเจ้า มิใช่จากการปฏิบัติตามธรรมบัญญัติ เพราะไม่มีมนุษย์คนใดเป็นผู้ชอบธรรมจากการปฏิบัติตามธรรมบัญญัติ (กท. 2:16)
จงยอมอยู่ใต้อำนาจของกันและกันด้วยความเคารพยำเกรงพระคริสตเจ้า (อฟ. 5:21)
อย่าทำดีรับใช้ต่อหน้าเหมือนจะให้มนุษย์พอใจเท่านั้น แต่จงเป็นเสมือนทาสรับใช้พระคริสตเจ้า กระทำตามพระประสงค์ของพระเจ้าจากใจจริง (อฟ. 6:6)
จงใช้ความรอดพ้นเป็นเกราะป้องกันศีรษะ จงถือดาบของพระจิตเจ้าคือพระวาจาของพระเจ้าไว้ (อฟ. 6:17)
ทุกถ้อยคำในพระคัมภีร์ได้รับการดลใจจากพระเจ้า และมีประโยชน์เพื่อสั่งสอน ว่ากล่าวตักเตือนให้ปรับปรุงแก้ไขและอบรมให้ดำเนินชีวิตอย่างชอบธรรม (2ทธ. 3:16)
จงตักเตือนเขาเหล่านั้นให้อยู่ใต้อำนาจและเชื่อฟังเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจ พร้อมที่จะทำความดีทุกประการ (ทต. 3:1)
แต่ถ้าไม่มีความเชื่อแล้ว จะเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าไม่ได้เลย เพราะผู้ที่มาเฝ้าพระเจ้า จำเป็นต้องเชื่อว่า พระองค์ทรงดำรงอยู่และประทานบำเหน็จแก่ผู้แสวงหาพระองค์ (ฮบ. 11:6)
จงเชื่อฟังและอยู่ใต้อำนาจผู้นำของท่าน เพราะเขาเหล่านั้นคอยเอาใจใส่ดูแลวิญญาณของท่านเสมือนผู้ที่ต้องเสนอรายงาน เพื่อให้เขาทำงานนี้ด้วยความยินดี มิใช่ด้วยความเศร้า ซึ่งจะไม่เป็นประโยชน์อะไรสำหรับท่านเลย (ฮบ. 13:17)
ส่วนผู้ที่พิจารณาบัญญัติแห่งอิสรภาพและยึดมั่นในบัญญัตินั้น มิใช่ฟังแล้วลืม แต่ฟังแล้วนำไปปฏิบัติตาม ผู้นั้นย่อมประสบความสุขในการปฏิบัตินั้น (ยก. 1:25)
ท่านทั้งหลายอยู่ใต้อำนาจพระเจ้า จงต่อต้านปีศาจ แล้วมันจะหลบหนีไปจากท่าน (ยก. 4:7)
เพราะความรักต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า จงอ่อนน้อมเชื่อฟังมนุษย์ทุกคนที่มีอำนาจปกครองทั้งพระจักรพรรดิซึ่งมีอำนาจสูงสุด (1ปต. 2:13)
องค์พระผู้เป็นเจ้ามิได้ทรงรีรอที่จะปฏิบัติตามพระสัญญาดังที่บางคนคิด แต่พระองค์ทรงอดกลั้นต่อท่านทั้งหลาย ไม่ทรงประสงค์ให้ผู้ใดต้องพินาศ แต่ทรงประสงค์ให้ทุกคนกลับใจเปลี่ยนวิถีชีวิต (2ปต. 3:9)
พระองค์ทรงซื่อสัตย์และทรงเที่ยงธรรม ถ้าเราสารภาพบาป พระองค์จะทรงอภัยบาปของเรา และจะทรงชำระเราให้สะอาดจากความอธรรมทั้งปวง (1ยน. 1:9)
ผู้ที่พูดว่า “ข้าพเจ้ารู้จักพระองค์” แต่ไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติของพระองค์ เขาเป็นคนพูดคำเท็จ และ “ความจริง”ไม่อยู่ในตัวเขา (1ยน. 2:4)
ผู้ที่พูดว่าเขาอยู่ในพระองค์ ก็ต้องดำเนินชีวิตเหมือนกับที่พระองค์ทรงดำเนินชีวิต (1ยน. 2:6)
ความรัก คือการดำเนินชีวิตตามพระบัญญัติ บทบัญญัตินี้ท่านเรียนรู้มาแล้วตั้งแต่แรกเริ่มคือให้ดำเนินชีวิตในความรัก (2ยน. 1:6)
ดังนั้น บรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ที่ปฏิบัติตามบทบัญญัติของพระเจ้าและมีความเชื่อในพระเยซูเจ้าจึงต้องมีความเพียรทนเช่นนี้ (วว. 14:12)