คำสอนเรื่องศีลมหาสนิทคำสอนเรื่องศีลมหาสนิท
         พระเจ้าทรงทอดพระเนตรมายังสิ่งสร้างทั้งหลาย แต่ไม่พบสิ่งใดเลยที่ใช้เป็นอาหารสำหรับเลี้ยงวิญญาณของมนุษย์ระหว่างที่ใช้ชีวิตในโลกนี้  พระองค์จึงทรงหันไปที่พระองค์เองและประทานพระองค์เป็นอาหารทิพย์สำหรับวิญญาณของมนุษย์    ฉะนั้นวิญญาณของเราจึงเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ทีเดียวเพราะไม่สามารถหาสิ่งใดมาใช้เป็นอาหารได้นอกจากพระกายและพระโลหิตของพระเจ้า!   เมื่อเราไตร่ตรองถึงเรื่องนี้ เราคงจะรู้สึกเหมือนตกอยู่ในเหวลึกแห่งความรักนิรันดร์   วิญญาณที่บริสุทธิ์เป็นสุขสักเพียงไรกับการสนิทสัมพันธ์กับพระคริสตเจ้าในศีลมหาสนิท!  วิญญาณเช่นนี้จะส่องแสงราวกับเพชรน้ำเอกในสวรรค์เพราะมีพระองค์ประทับอยู่ในวิญญาณด้วย



          พระเยซูคริสตเจ้าตรัสว่า “ท่านจะขอสิ่งใดจากพระบิดา พระองค์จะประทานให้แก่ท่านในนามของเรา” (ยน 16:23)  อย่างไรก็ตามเราคงคิดไม่ถึงที่จะบังอาจทูลขอพระบุตรของพระบิดาเป็นอาหาร  แต่พระบิดาก็ได้ประทานสิ่งที่มนุษย์เราคิดไม่ถึงนี้ให้   สิ่งที่มนุษย์ไม่สามารถแสดงออกได้หรือไม่กล้าแม้แต่จะคิด  พระเจ้าในความรักของพระองค์ทรงทราบและทรงจัดการให้   เราจะกล้าทูลขอพระบิดาประทานชีวิตของพระบุตรเพื่อเรา  ประทานพระวรกายให้เรากินและพระโลหิตให้เราดื่มหรือ?   หากปราศจากศีลมหาสนิท โลกนี้ก็จะไม่มีความสุข และชีวิตมนุษย์ก็จะเลวร้ายจนไม่อาจทนมีชีวิตอยู่ได้   เมื่อเรารับศีลมหาสนิท  เราได้รับความปีติยินดีและความสุข   พระเจ้าผู้พระทัยดีทรงปรารถนาจะประทานพระองค์เองแก่เราในศีลแห่งความรัก  ประทานความปรารถนาที่ยิ่งใหญ่แก่เราตามความพอพระทัยของพระองค์   ต่อหน้าศีลมหาสนิทที่งดงามนี้ เราเป็นเหมือนผู้ที่กระหายน้ำอย่างสุดทนอยู่ข้างลำธาร  สิ่งที่เราต้องทำเหลือเพียงการก้มลงดื่มน้ำเพื่อดับความกระหาย  หรือเหมือนกับคนยากจนที่ยืนอยู่อย่างยากไร้หน้าประตูห้องมหาสมบัติ  เหลือเพียงแค่ยื่นมือออกก็จะได้สมบัติที่ต้องการแล้ว  เพราะผู้ที่ติดต่อสัมพันธ์กับพระเจ้าเป็นเหมือนน้ำหยดหนึ่งที่อยู่ในมหาสมุทร ผู้ที่มีความสนิทสัมพันธ์กับพระจึงไม่แยกออกจากพระองค์อีก

          ในวันพิพากษาประมวลพร้อม  เราจะแลเห็นพระวรกายรุ่งโรจน์ของพระเยซูคริสตเจ้าที่เราได้รับในศีลมหาสนิท เช่นเดียวกับการแลเห็นทองคำที่ส่องแสงบนแผ่นทองแดง  หรือแสงเงินบนแผ่นตะกั่ว  เมื่อเราสนิทสัมพันธ์กับพระองค์ และมีผู้ถามว่า “คุณเอาอะไรติดตัวมาที่บ้านแท้หลังนี้?”  เราก็อาจตอบได้ว่า “ฉันเอาสวรรค์มาด้วย”.   มีนักบุญองค์หนึ่งกล่าวว่า  เราเป็น “ผู้แบกองค์พระคริสต์” ซึ่งก็เป็นความจริงทีเดียว  แต่พวกเราไม่มีความเชื่อมากพอ   เราจึงไม่เข้าใจถึงความศักดิ์ศรีของเรา  เมื่อเราเดินออกจากโต๊ะศักดิ์สิทธิ์  เรามีความสุขเช่นเดียวกับพระยาสามองค์หากพวกเขาสามารถนำพระกุมารเยซูไปด้วยได้    หรือเช่นเดียวกับขวดใส่บรั่นดีที่ปิดด้วยจุกไม้คอร์คอย่างดีก็จะสามารถเก็บรักษาบรั่นดีไว้ได้นานตามที่เราต้องการ   ดังนั้นหากเราต้องการเก็บรักษาพระเยซูคริสตเจ้าไว้กับเรานานๆ หลังการรับศีลมหาสนิท  เราก็ต้องเก็บรักษาเปลวไฟที่ร้อนแรงนี้ไว้ในใจเพื่อให้เกิดความโน้มเอียงในการทำดีและหลีกหนีสิ่งชั่วร้าย   เมื่อเรามีพระเจ้าพระผู้พระทัยดีในใจ  ใจของเราก็ควรมีความร้อนแรง เช่นเดียวกับหัวใจของศิษย์สองคนที่เดินทางไปยังหมู่บ้านเอมมาอูสกับพระเยซูคริสตเจ้า “ใจของเราไม่ได้เร่าร้อนเป็นไฟอยู่ภายในหรือเมื่อพระองค์ตรัสกับเราขณะเดินทาง และอธิบายพระคัมภีร์ให้เราฟัง” (ลก 24:32)

             พ่อไม่อยากเห็นคนที่เมื่อเดินกลับมายังที่นั่งหลังจากรับศีลมหาสนิทก็เริ่มอ่านหนังสือมิสซาเลย   คำพูดของมนุษย์จะมีประโยชน์อันใดในเมื่อขณะนั้นพระเยซูคริสตเจ้ากำลังตรัสกับเราอยู่   เราต้องทำเหมือนกับคนที่อยากรู้อยากเห็นที่กำลังแอบฟังการสนทนาอยู่ที่ข้างประตู  เราต้องฟังสิ่งที่พระองค์กำลังตรัสอยู่ที่ประตูแห่งหัวใจของเรา   เมื่อเราได้รับพระเยซูคริสตเจ้าแล้ว เราจะรู้สึกว่าวิญญาณของเราสะอาดบริสุทธิ์ เพราะกำลังอาบอยู่ในความรักของพระเจ้า   เมื่อเราไปรับศีลมหาสนิท  เรารู้สึกถึงสิ่งที่อยู่เหนือธรรมชาติ  เป็นความรู้สึกสบายใจที่แทรกซึมไปทุกส่วนของร่างกาย.   ความสบายใจนี้ได้แก่อะไร?  ได้แก่การที่องค์พระเยซูคริสตเจ้าประทับอยู่ในทุกอณูของร่างกายเรา และทำให้ร่างกายของเรากระปรี้กระเปร่า  จนเราอาจกล่าวเหมือนกับที่นักบุญยอห์นกล่าวไว้ว่า “นี่เป็นองค์พระคริสตเยซูเจ้าพระองค์เอง”   ผู้ที่รับศีลมหาสนิทแล้วรู้สึกเฉยๆ จึงเป็นคนที่น่าสงสารทีเดียว

**** ขอบคุณข้อมูลจากคุณพ่อวิจิตต์ แสงหาญ เจ้าอาวาสวัดเซนต์จอห์น
แปลจาก http://saints.sqpn.com/stj18014.htm