ข้อคิดสำหรับวันอาทิตย์ 14 ตุลาคม 2007

 "พระเยซูเจ้า โปรดสงสารพวกเราด้วย”

พระวรสาร :  ลูกา 17:11-19

1.ความทุกข์ยากลำบากสอนอะไรเราเกี่ยวกับพลังอำนาจแห่งการรักษาด้วยความรักและความเมตตากรุณา สุภาษิต 17:17 สอนเราว่า “มิตรสหายก็มีความรักอยู่ตลอดเวลา และพี่น้องก็เกิดมาเพื่อช่วยกันในยามทุกข์ยาก”

2.เมื่อความทุกข์ยากลำบากเข้ามาในชีวิตของเรา เราจะเข้าใจได้อย่างแท้จริงว่าใครคือพี่ใครคือน้องหรือใครคือเพื่อนแท้ของเรา พระวรสารได้บันทึกถึงเรื่องความสัมพันธ์ที่ผิดปรกติของบุคคลที่แตกต่างกันและเป็นอริต่อกันเป็นเวลานานมาแล้ว

3.ชาวยิวดูถูกชาวสะมาเรียว่าเป็นคนต่ำชั้นกว่าคนต่างศาสนาเสียอีก  ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่คบหาสมาคมต่อกัน และเป็นศัตรูต่อกันอย่างเปิดเผย 
 
4.ในพระวรสารเราพบเหตุการณ์ที่หาได้ยากคือ คนโรคเรื้อนชาวสะมาเรียคนหนึ่งอยู่ร่วมกับคนโรคเรื้อนชาวยิวอีกเก้าคน บางทีความทุกข์ยากก็บังคับเราให้ทำลายกำแพงแห่งความแตกต่างหรืออคติที่เคยมีต่อกันก็ได้เหมือน เมื่อคนโรคเรื้อนกลุ่มนี้เห็นพระเยซูเจ้าพวกเขาจึงได้ร้องขอพระเยซูเจ้าอย่างจริงจัง พวกเขาไม่ได้ร้องขอการบำบัดรักษาแต่ของความเมตตาสงสาร   

5.คำว่า “เมตตา”(mercy) หมายถึง “ความเศร้าของหัวใจ” ("sorrowful at heart")  ความเมตตามีความหมายมากกว่าแค่ความเห็นอกเห็นใจ(compassion) หรือ ความเสียใจต่อความทุกข์ยากของผู้อื่น

6.ในขณะที่ความเห็นอกเห็นใจมีจิตใจร่วมไปกับความทุกข์ยากของผู้อื่น แต่ความเมตตากรุณาไปไกลกว่านั้น คือ ช่วยทำให้ความทุกข์ยากของเขานั้นหลุดพ้นออกไปด้วย

7.บุคคลที่มีความเมตตากรุณาจะร่วมทุกข์ร่วมสุขกับความทุกข์ยากลำบากของผู้อื่นราวกับว่าความทุกข์นั้นเป็นความทุกข์ของเขาเอง และเขาจะพยายามทำทุกสิ่งอย่างเต็มความสามารถเพื่อจะช่วยให้ความทุกข์ยากนั้นมลายหายไป 

8.ความเมตตายังเกี่ยวข้องกับความยุติธรรมอีกด้วย นักบุญโทมัส อควัยนัสกล่าวว่า “ความเมตตากรุณาไม่ได้ทำลายความยุติธรรม แต่แท้จริงแล้วช่วยทำให้ความยุติธรรมสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ความเมตตากรุณาที่ปราศจากความยุติธรรมก็จะเป็นมารดาแห่งเหลวไหล เชื่อถือไม่ได้ ส่วนความยุติธรรมที่ขาดความเตตาก็คือความอำมหิต” การขอโทษที่ขาดการชดเชยก็เป็นการละเลยความยุติธรรม

9.ดังนั้นสาระสำคัญของเรื่องคนโรคเรื้อนสิบคนมีความหมายอะไรแก่เรา

10.พวกเขารู้ว่าพวกเขาต้องการการบำบัดรักษา ไม่เพียงแต่แค่ร่างกายเท่านั้น แต่ทางด้านจิตใจอีกด้วยเช่นกัน 

11.พวกเขาเข้ามาหาพระเยซูเจ้าด้วยความเป็นทุกข์และด้วยความเชื่อเพราะเขาเชื่อว่าพระองค์จะทรงช่วยให้ความทุกข์ยากลำบากใจทั้งหลายได้ผ่านพ้นไป ทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ

12.คำร้องขอความเมตตาสงสารของเขาเป็นทั้งคำขอเพื่อการยกโทษและการบำบัดจากโรคภัย พระเยซูเจ้าทรงประทานความกรุณาให้กับทุกคนที่ร้องขอด้วยความเชื่อและการเป็นทุกข์เสียใจ

13.ทำไมจึงมีแต่เพียงคนเดียวที่กลับมาขอบคุณพระเยซูเจ้า และคนนั้นเป็นชาวสะมาเรียคนที่น่ารังเกียจกว่าคนต่างศาสนา

14.ความกตัญญูเกี่ยวข้องกับพระหรรษทานด้วย ความกตัญญูเป็นคำที่ให้ความหมายถึงการให้ความรัก ความกตัญญูเป็นการแสดงออกของความจงรักภัคดีของหัวใจที่ตอบสนองด้วยกิจการอย่างหนึ่ง คือ การขอบคุณ

15.ชาวสะมาเรียเข้ามาหาพระเยซูเจ้าด้วยความเคารพและให้การสรรเสริญพระเจ้า ถ้าเราไม่สำนึกหรือชื่นชมต่อความเมตตาที่เราได้รับ เราก็ได้ชื่อว่าเป็นคนอกตัญญู

16.ความอกตัญญู คือการลืมที่จะขอบพระคุณหรือชดเชยต่อความเมตตาที่ผู้อื่นให้เราในลักษณะที่น้อยนิด ความอกตัญญู จะนำไปสู่การขาดความรักและความอดทนต่อความผิดบาปของผู้อื่น เช่น จะเป็นคนที่บ่นว่า ไม่พอใจอะไรง่ายๆ หยิ่งและชอบสันนิฐานอะไรที่เกินเหตุ

17.เราเองมีกี่ครั้งกี่หนที่เราไม่ได้แสดงความกตัญญูรู้คุณต่อบิดามารดา ครูบาอาจารย์ ผู้ใหญ่ผู้ที่มีบุญคุณต่อเรา หรือแม้แต่เพื่อนบ้านของเรา เราได้แสดงความกตัญญูรู้คุณต่อพระเจ้าสำหรับพระเมตตาของพระองค์ที่ทรงมีต่อเราหรือไม่

"ข้าแต่พระเจ้า โปรดอย่าให้ลูกได้หลงลืมที่จะขอบพระคุณพระองค์เสมอๆและตลอดเวลา โปรดเปิดใจของลูกให้แสดงความกตัญญูรู้คุณต่อทุกคนที่ได้มีพระคุณต่อลูก โปรดให้ลูกได้ห่างไกลจากความหยิ่งผยอง การไม่รู้บุญคุณคน โปรดช่วยให้ลูกได้ขอบพระคุณพระองค์ในทุกๆกรณีด้วยเทอญ อาแมน”