ข้อคิดวันอาทิตย์ที่ 15 มกราคม 2012
พระเยซูเจ้าทรงเป็นบุคคลที่เราแสวงหา
             วันนี้ให้เราลองตอบคำถามนี้ซิ “พระเยซูเจ้าคือใคร สำคัญอย่างไรต่อชีวิตของฉัน”  ยอห์นเรียกพระเยซูเจ้าว่า “ลูกแกะของพระเจ้า” และนี้เป็นการบ่งบอกถึงพันธกิจของพระเยซูเจ้าในฐานะที่เป็นผู้ไถ่บาปของมนุษย์ เราคงนึกถึงเลือดของลูกแกะที่ชาวยิวได้นำไปทาไว้ที่ประตูบ้าน เป็นเลือดของลูกแกะปัสกา เครื่องหมายนี้เองที่ทำให้บุตรหัวปีของชาวยิวทุกคนได้รับการไว้ชีวิต ขณะที่บ้านของชาวอียิปต์ที่ไม่มีเลือดทาไว้ต้องสูญเสียบุตรหัวปีของพวกเขาไป เลือดของแกะจึงเป็นเครื่องหมายของความรอดพ้น เริ่มจากความตายฝ่ายร่างกายไปสู่ความหมายใหม่คือความตายฝ่ายจิตวิญญาณที่พระเยซูเจ้าทรงนำมาให้เรา(1โครินธ์ 5:7)

             ยอห์นรู้ได้อย่างไรว่าพระองค์ทรงเป็นพระผู้ไถ้บาปมนุษย์ ด้วยตัวของท่านเองในฐานะบุตรของสมณเศคาริยาห์ผู้ที่มีหน้าที่ถวายเครื่องบูชาลูกแกะในพระวิหารเป็นประจำนั้นท่านเองก็มีความคุ้นเคยกับการบูชาไถ่โทษบาปตามธรรมเนียมของชาวยิวอยู่แล้ว เมื่อยอห์นเห็นพระเยซูเจ้า “พระจิตของพระเจ้า” ทรงเผยแสดงให้ท่านรู้ว่าบุคคลนี้แหละที่เป็นลูกแกะของพระเจ้า เสด็จมาเพื่อลบล้างบาปของโลก ยอห์นรู้ได้อย่างไรว่าพระเยซูเจ้าทรงเป็นพระคริสต์(ผู้ที่ได้รับการเจิมจากพระเจ้า) ก็เป็น “พระจิตเจ้า” อีกเช่นกันที่เปิดเผยให้ยอห์นทราบ “องค์พระจิตเจ้า” ทรงกระทำให้พระเยซูคริสตเจ้าเป็นที่รู้จักของบุคคลทั่วไปโดยอาศัยพระพรแห่งความเชื่อ องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงประทานพระจิตเจ้าเพื่อให้เราเข้าใจถึงธรรมล้ำลึกเกี่ยวกับพระองค์และข้อคำสอนต่างๆของพระองค์ (สิ่งที่เราพึงกระทำคือหยุดนิ่ง วอนขอความสว่างแห่งดวงปัญญาจากพระจิตเจ้า อัญเชิญพระองค์ลงมาสถิตในจิตใจขอเรา)

                เรื่องที่เราสามารถเรียนรู้และเลียนแบบยอห์นได้ประการแรกคือ บุคลิกของยอห์นเอง ที่เป็นคนที่ “สุภาพถ่อมตน” ท่านไม่ได้รีรอหรือเหนี่ยวรั้งลูกศิษย์ของตนให้อยู่กับตัวของท่าน ไม่ว่าเพื่อหน้าตาหรือเกียรติยศส่วนตัว เมื่อท่านรู้ว่าพระเยซูเจ้า พระผู้ไถ่เสด็จมาแล้ว ท่านยินยอมให้ศิษย์ของท่านจากไปอยู่กับพระเยซูเจ้า (ท่านไม่อ้างบุญคุณ หรือยึดติดอะไร ใครจะก้าวหน้า)

                ข้อน่าคิดอีกประการหนึ่งมาจากพระเยซูเจ้าเอง เมื่อพระเยซูเจ้ารู้ว่ามีคนมาติดตามพระองค์ พระองค์ทรงเป็น “ฝ่ายเริ่มต้นก่อน” พระองค์ไม่รอช้า ไม่ถือตัว พระองค์เข้าหาเริ่มเปิดความสัมพันธ์ที่ดีกับเขา โดยการพูดคุยกับพวกเขาและตั้งคำถามที่ทำให้พวกเขาได้คิดถึงชีวิตที่แท้จริงของตนเอง “ท่านแสวงหาอะไร” พระเยซูเจ้าทรงถามท่านเช่นเดียวกันว่า “ท่านมาหาเราเพื่ออะไร ท่านต้องการอะไรจากเรา” หรือ “ท่านมีเป้าหมายอย่างไรต่อชีวิต”  “มีชีวิตอยู่เพื่ออะไร” เรื่องนี้เราตอบตอบพระองค์เป็นการส่วนตัว

               คำตอบของพระเยซูเจ้าที่มีต่อผู้อยากติดตามพระองค์ เมื่อพวกเขาถามพระองค์ว่า “ท่านพำนักอยู่ที่ไหน” คือ “มาดูเถิด” นี้เป็นคำเชื้อเชิญให้พวกเขาติดตามพระองค์และมาร่วมงานกับพระองค์ ไม่ใช่แค่มาทัศนศึกษาหรือดูอะไรที่ผิวเผิน เป็นการเชิญชวนให้เข้ามาสัมผัสด้วยตนเองอย่างแท้จริง (ชีวิตของเราเป็นพระเจ้าที่ทรงเริ่มต้น ด้วยพระพรของพระองค์ นอกจากนั้นพระองค์ยังช่วยเหลือเราโดยผ่านทางพระหรรษทานต่างๆ ขอเพียงแต่ให้เราเปิดใจต้อนรับพระองค์)

               คนเราเมื่อได้พบอะไรที่ตรงกับใจหรือมองเห็นคุณค่าหรือความสำคัญ เราคงจะอยู่นิ่งเฉยไม่ได้ อย่างน้อยเราต้องพูด ต้องแบ่งปันหรือเข้าหา ตัวอย่างของอันดรูว์ทันทีที่ได้พบพระเยซูเจ้าเขาก็รีบไปบอกซีโมนพี่ชายของเขาถึงข่าวดีที่ได้พบ แน่นอนเขาได้พาพี่ชาย “มาและดู” ด้วยตนเองว่าพระเยซูเจ้าเป็นใคร เช่นเดียวกัน พระองค์ทรงเริ่มต้นก่อน ซีโมนยังไม่ทันได้พูดอะไร พระเยซูเห็นเขาและเริ่มคุยกับเขา เนื้อหาการพูดคุยนั้นพระองค์ทรงแสดงให้เห็นถึงความสนใจและให้เกียรติเขาอย่างมาก พระองค์ทรงเรียกชื่อของเขา บอกชื่อบิดาของเขา และตั้งสมญานามใหม่ว่าเป็น “ศิลา” ซึ่งเป็นชื่อที่มีความหมายถึงการเป็นรากฐานสำคัญของการก่อสร้าง ซึ่งเราเข้าใจกันดีว่า คือ การสร้างพระศาสนจักรจากชีวิตและการทำงานของเปโตรซีโมนในอนาคต

เราจะทำอะไรดีในสัปดาห์นี้
• ตรวจสอบศรัทธาของท่านว่าท่านนับถือศรัทธาพระเยซูเจ้าเพื่ออะไร ชีวิตของพระเยซูเจ้ามีผลประโยชน์อย่างไรต่อชีวิตของท่าน
• จงเลียนแบบความสุภาพถ่อมตนจากท่านยอห์น
• จงให้ความสำคัญกับผู้อื่น เข้าไปผูกมิตร และนำเขาให้มารู้จักและรักพระเยซูเจ้า