ข้อคิดวันอาทิตย์ที่ 25 ธันวาคม 2011
เราคือแสงสว่างส่องโลก
         
สุขสันต์วันคริสต์มาสแด่พี่น้องทุกท่าน ข้อคิดในวันฉลองคริสต์มาสนี้ คือ “เราคือแสงสว่างส่องโลก” ทั้งนี้เพราะในการฉลองคริสต์มาสของทุกปีนั้น เราจะเห็นการประดับด้วยแสงสีอันหลากหลายตระการตา จึงคิดว่า “แสงสว่าง” นี้แหละที่เป็นข้อคิดที่ดีสำหรับเราทุกคน


                ในการเฉลิมฉลองต่างๆเราจะเห็นการประดับด้วยแสงไฟสวยงามต่างๆมากมาย แต่แสงสว่างเหล่านั้นมีจุดประสงค์ที่แตกต่างไปจากแสงไฟวันคริสต์มาส แสงเหล่านั้นไม่ได้นำพาเราให้เข้าใกล้ชิดกับพระคริสต์เจ้า เช่น แสงไฟหน้าห้างร้านสรรพสินค้า หน้าร้านอาหาร หน้าไนต์คลับ ฯลฯ แสงสว่างเหล่านี้ไม่ได้นำความรอดพ้นจากบาปมาให้เรา (แต่อาจจะพาเราให้หมกมุ่นในบาปด้วยซ้ำไป)

                ใครคือ “แสงสว่างต้นแบบ” ของเราคริสตชน เศคาริยาห์ได้กล่าวพยากรณ์ให้ประชาชนได้รับทราบถึงการบังเกิดมาของพระผู้ไถ่ที่จะเสด็จมาเพื่อช่วยลบล้างบาปให้กับพวกเขา พระผู้ไถ่นี้แหละที่เป็นแสงสว่างที่แท้จริง “พระองค์จะเสด็จมาเยี่ยมเราจากเบื้องบนดุจแสงอรุโณทัย ส่องแสงสว่างให้ทุกคนที่อยู่ในความมืดและในเงาแห่งความตาย เพื่อจะนำเท้าของเราให้ดำเนินไปตามทางแห่งสันติสุข”(ลูกา 1:78-79)

                    เมื่อพระกุมารเยซูทรงเป็นแสงสว่างส่องโลก เราทุกคนที่ได้มาร่วมฉลองวันคริสต์มาสก็จะต้องเป็นแสงสว่างส่องโลกด้วยเช่นกัน เราจะเป็นแสงสว่างได้อย่างไร ก็ด้วยการกระทำความดี ทั้งด้วย การคิดดี พูดดี ทำดี เพื่อให้ทุกคนที่พบปะกับเราจะได้พบกับแนวทางในการดำเนินชีวิตที่มีสันติสุข

เมื่อพูดถึงแสงสว่าง ขอนำเรื่องเล่าสอนใจเรื่องแสงสว่างมาให้ท่านอ่านสักสองเรื่อง
เรื่อง “ตะเกียงดับ”
                  ชายตาบอดคนหนึ่งไปเยี่ยมเพื่อนของเขา หลังจากพูดคุยกันอย่างจุใจแล้วจึงขอลากลับ เพื่อนตาดีของเขามีความปรารถนาดีกลัวว่าขณะที่เพื่อนเดินทางกลับบ้านอาจจะมีคนมองไม่เห็นและอาจจะเดินชนเอาได้ จึงได้ให้ตะเกียงเพื่อนถือไว้ขณะเดินกลับบ้าน ชายตาบอดพูดกับเพื่อนตาดีของเขาว่า “ตะเกียงไม่มีประโยชน์อะไรต่อฉันเลยไม่ว่าจะเป็นกลางวันหรือกลางคืน” แต่เพื่อนตาดีก็ยืนกรานให้ถือตะเกียงไปด้วยให้ได้ เพราะแสงสว่างอาจจะไม่มีประโยชน์ต่อคนตาบอดโดยตรง แต่สำหรับคนตาดีเมื่อเห็นแสงสว่างจากตะเกียงอาจจะทำให้พวกเขาจะได้เดินหลบไปและไม่ชนเอาได้ ที่สุดเพื่อนตาบอดก็ยอมถือตะเกียงเดินกลับบ้านด้วย แต่ไปได้ไม่นานก็มีคนมาเดินชนเขาเข้าอย่างจัง เขาจึงตะโกนออกไปว่า “จะรีบไปไหนกัน มองไม่เห็นกันบ้างหรือ” ทันใดก็มีเสียงตอบมาว่า “ขอโทษครับ ผมมองไม่เห็นจริงๆ มันมืดมาก และนี้ตะเกียงของคุณก็ไม่มีแสงสว่างอะไรเลย”
 
เรื่องที่สอง “เล่นเป็นดวงดาว”
                    เด็กหญิงวัย 7 ขวบคนหนึ่ง คุณครูคำสอนได้คัดเลือกให้เล่นละครวันคริสต์มาสที่โรงเรียน หลังจากที่ได้ฝึกซ้อมกันอย่างเคร่งเครียดแล้ว เธอก็ได้นำเครื่องแต่งกายและเครื่องประดับต่างๆกลับไปบ้านของเธอด้วย สิ่งหนึ่งที่เธอต้องถือกลับบ้านด้วยความระมัดระวังเป็นพิเศษก็คือ “ดาวดวงใหญ่” ที่ครูจัดทำให้เธอ
ทันทีที่เข้าไปในบ้าน คุณแม่ก็ได้ถามว่าเธอได้แสดงเป็นใครในละครคริสต์มาส พระแม่มารีย์ โยเซฟ ทูตสวรรค์ คนเลี้ยงแกะ หรืออะไรกัน เด็กหญิงคนนี้ตอบคุณแม่ว่า “ครูให้หนูแสดงเป็นดวงดาวค่ะ ให้คอยส่องแสงใกล้ๆรางหญ้าที่พระกุมารนอนอยู่” แม่ถามต่อว่า “แล้วหนูต้องทำอะไรบ้างล่ะ” ลูกสาวตอบว่า “หนูแค่ยืนอยู่เฉยๆใกล้ๆพระกุมารและให้แสงสว่างส่องไปที่พระกุมารค่ะ”
-----------------------------
                  สุขสันต์วันคริสต์มาสอีกครั้งหนึ่งแด่พี่น้องทุกท่าน ขอพระกุมารประทานพระพรอันอุดมให้กับทุกท่าน “ขอให้ชีวิตของเราทุกคนอยู่ในพระองค์ ขอให้ชีวิตเป็นแสงสว่างสำหรับทุกคน”