ข้อคิดวันอาทิตย์ที่ 21 สิงหาคม 2011
อยากรู้จักพระเยซู ทำอย่างไรดี (มธ 16:13-20)
            
เด็กผู้หญิงคนหนึ่งเข้าไปเรียนคำสอนเป็นครั้งแรก เมื่อกลับไปบ้านคุณแม่ของเธอถามว่า “ลูก..ไปเรียนคำสอนสนุกไหม” ลูกสาวตอบว่า “ไม่เห็นจะดีเลย หนูไม่ชอบ” คุณแม่พยายามให้กำลังใจ “นี่เป็นแต่เพียงครั้งแรกนะลูก เดี๋ยวเรียนต่อๆไป แล้วลูกก็จะต้องชอบเรียนคำสอนแน่ๆ”


                   สามสัปดาห์ต่อมาหลังจากเรียนคำสอนเสร็จแล้ว เด็กน้อยได้กลับมาบ้านพร้อมน้ำตา “เกิดอะไรขึ้นจ๊ะลูก” ลูกสาวตอบว่า “ก็เรื่องการเรียนคำสอนนั้นแหละคุณแม่....แต่หนูจะสู้ต่อไป” “ทำไมล่ะ” คุณแม่เกิดความสงสัย  “มีอะไรเหรอ”
                 “คืออย่างนี้จ๊ะ แม่...ทุกคนต่างพูดกันเรื่องของคนๆหนึ่ง ชื่อ พระเยซู ซึ่งหนูก็ไม่รู้ว่าเขาคือใคร และไม่เคยเห็นเขาด้วยซ้ำ”
---------------------------------------------------------

                    พระวรสารของเราในวันอาทิตย์นี้ พระเยซูเจ้าตรัสถามบรรดาศิษย์ว่า “ท่านล่ะคิดว่าเราเป็นใคร” จากพระวรสารตอนนี้ทำให้เราทราบว่าแม้ในสมัยของพระเยซูเจ้าก็ยังมีคนจำนวนมากที่ยังไม่รู้จักพระเยซู หลายคนอาจจะเคยได้ยินหรือได้ฟังเรื่องของพระองค์ แต่ไม่เคยได้พบเห็นพระองค์

                  เรื่องนี้แก้ไขได้ง่ายๆ โดยศิษย์ของพระองค์จะบอกกับผู้คนในสมัยนั้นว่า “มากับเราซิ พระเยซูกำลังเทศนาอยู่ที่ริมทะเล ลองไปฟังคำสอนของพระองค์ซิ และเมื่อพระองค์เทศน์สอนเสร็จแล้ว เราจะได้ไปหาพระองค์ ไปพูดคุยกับพระองค์”

                   แต่สมัยนี้ เราจะทำอย่างนั้นได้อย่างไร ถ้ามีคนสนใจอยากรู้จักหรืออยากจะพบพระเยซู เพราะพระองค์ไม่ได้อยู่ให้เราได้เห็นเป็นตัวตนเหมือนในสมัยนั้น เราจะบอกอย่างนี้หรือ “มากับเราซิ พระเยซูเจ้ากำลังเทศนาอยู่ที่ห้างสรรพสินค้า ลองไปฟังคำสอนของพระองค์ซิ และเมื่อพระองค์เทศน์สอนเสร็จแล้ว เราจะได้หาพระองค์ ไปพูดคุยกับพระองค์”

                       คำถามที่ท้าทายเราในวันนี้ คือ เราจะพบพระเยซูเจ้าได้ที่ไหน เราจะฟังคำเทศน์สอนของพระองค์ได้ที่ไหน เราจะพบพระเยซูเจ้าอย่างใกล้ชิดแบบส่วนตัวได้ที่ไหน เราจะพูดคุยเป็นการส่วนตัวกับพระองค์ได้อย่างไร
------------------------------------------------------------------

                 แน่นอน เราที่มาวัดเป็นประจำอาจจะรู้คำตอบจากคำถามข้างต้นได้ เช่น เราพบพระเยซูเจ้าได้ที่วัดของเรา เมื่อเราร่วมพิธีมิสซาฯ ตามที่พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ที่ใดมีสองหรือสามคนชุมนุมกันในนามของเรา เราก็อยู่ที่นั้นในหมู่พวกเขา” (มัทธิว18:20)

                  เราฟังเสียงของพระเยซูเจ้าได้เมื่อเรารับฟังพระวาจาของพระเจ้าที่ตรัสกับเราโดยผ่านทางบทอ่านต่างๆ และจากการเทศน์สอนของพระสงฆ์ผู้เป็นประธานในพิธี ตามที่พระเยซูเจ้าตรัสสอนว่า “ผู้ที่ฟังท่าน ผู้นั้นฟังเรา” (ลูกา 10:16)

    เราพบกับพระเยซูเจ้าเป็นการส่วนตัวได้ โดยการเข้ารับศีลมหาสนิท
    เราสามารถสนทนาเป็นการส่วนตัวกับพระองค์ได้โดยการสวดภาวนา
             แต่คำตอบที่ว่าข้างต้นนี้เกิดขึ้นเฉพาะในวันอาทิตย์เท่านั้นใช่ไหม เราคริสตชนคาทอลิกพบพระเจ้าได้เฉพาะวันอาทิตย์เท่านั้นหรือ แล้วอีก 6 วัน เราทำอะไรกัน เราสามารถพบพระเยซูเจ้าได้ทุกวันๆจะได้ไหม คำตอบก็คือ “ได้”

               ขอเริ่มต้นเลย “ที่ใดมีสองหรือสามคนชุมนุมกันในนามของเรา เราก็อยู่ที่นั้นในหมู่พวกเขา” ผมอยากจะให้สิ่งนี้เกิดขึ้นจริงในชีวิตของเรา ในครอบครัวของเรา ถ้าเรามารวมกันสวดภาวนา ไม่ว่าก่อนหรือหลังทานอาหาร หรือก่อนเข้านอน ถ้าเราสวดพร้อมกัน นี้แหละครอบครัวของเราจะได้พบพระเจ้า บางครอบครัวมีการจับมือระหว่างพ่อแม่ลูกขณะภาวนา อย่างนี้ช่วยทำให้คำภาวนามีพลังมหาศาล บ้านใครยังไม่เคยทำลองทำดู แรกๆอาจจะดูเขินๆแต่ต่อไปรับรองว่าดีแน่

              ประการต่อมา คือ การพบพระเยซูเจ้าในชีวิตประจำวันด้วยการช่วยเหลือคนที่มีความยากลำบากหรือมีความขัดสน เมื่อไรก็ตามที่เราได้ยื่นมือช่วยเหลือคนยากจน คนถูกทอดทิ้ง คนที่มีปัญหา คนที่ถูกสังคมรังเกียจ ฯลฯ เมื่อนั้นแหละ เราได้พบกับพระเยซูเจ้า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ท่านทำสิ่งใดต่อพี่น้องผู้ต่ำต้อยที่สุดของเราคนหนึ่ง ท่านก็ทำสิ่งนั้นต่อเรา” (มัทธิว 25;37)

                คนที่ต้องการความช่วยเหลือ ผมไม่อยากให้เรามองไปยังดินแดนที่ห่างไกล แต่ขอให้มองคนใกล้ตัวก่อน สามีของเรา ภรรยาของเรา ลูก หรือคนในครอบครัว เพราะมีเสียงบ่นว่า “เรามักจะดีกับคนนอกบ้าน แต่ร้ายกับคนในบ้าน”

               ประการที่สาม เราพบพระเยซูเจ้าได้ในเวลาที่เรามีความทุกข์ เหนื่อยอ่อน หมดแรง หมดกำลังใจ มีความหวาดวิตก กังวลในเรื่องต่างๆ เหตุการณ์ต่างๆในเชิงลบเหล่านี้ทำให้เราต้อง “ภาวนา” มากยิ่งขึ้น และพระเยซูทรงสัญญากับเราว่า “ท่านทั้งหลายที่เหน็ดเหนื่อย และแบกภาระหนักจงมาพบเราเถิด เราจะให้ท่านได้พักผ่อน(มัทธิว 11:28)

               ดังนั้น เราจึงไม่จำเป็นที่จะต้องนั่งเครื่องย้อนเวลากลับไปสู่สองพันปีที่แล้ว เพื่อพบพระเยซูเจ้า ฟังเสียงของพระองค์และพูดคุยกับพระองค์ เพราะพระเยซูเจ้าทรงกลับฟื้นคืนชีพและทรงพระชนมชีพอยู่ท่ามกลางเราตลอดเวลา เหมือนกับที่พระองค์ประทับอยู่ที่กาลิลีในสมัยโน้น
-------------------------------------------------------------------

               หนังสือนิตยสารหรือหนังสืออ่านเล่นของเด็กๆมักจะมีเกมให้ผู้อ่านได้เล่นกัน เกมที่อยากจะนำมาเล่าให้ฟังนี้เป็นเกมค้นหาบุคคลในภาพ โดยผู้วาดภาพจะวาดภาพสวนดอกไม้ที่สวยงาม มีดอกไม้ มีนก ผีเสื้อ และสิ่งประกอบต่างๆ แล้วก็มีคำถามว่า ให้มองดูในภาพนี้ว่ามีคนอยู่ในสวนนี้กี่คน ...นึกออกไหม...เราก็พยายามมองหา แต่ภาพของบุคคลนั้นเขาวาดโดยซ่อนไว้ หรือวาดแต่เพียงส่วนหนึ่งส่วนใดของร่างกายเท่านั้น หลังจากพินิจพิเคราะห์แล้ว เราจะเห็นคนหนึ่งมีหูโผล่ออกมาจากใบไม้ อีกคนหนึ่งเห็นแขน อีกคนหนึ่งเห็นขา ฯลฯ ปรากฏว่าในภาพนั้นมีคนอยู่มากมายแต่ซ่อนเร้นไว้

              เช่นเดียวกัน ในความเชื่อของเรา เรารู้ว่ามีคนหนึ่งที่ซ่อนตัวอยู่ในทุกฉากของชีวิตเรา บุคคลนั้นคือ “พระเยซูเจ้า” พระองค์ประทับอยู่ท่ามกลางเรา แต่เราต้องพยายามค้นหาให้เจอ ไม่ว่าเราจะอยู่ในสภาพเช่นใด พระองค์ประทับอยู่ใกล้ๆ เราต้องค้นหาและพาคนอื่นมาพบกับพระองค์ด้วย
-------------------------------------------------------

               ข้าแต่พระเจ้า บางครั้งลูกเป็นเหมือนเด็กผู้หญิงคนนั้นที่ไม่ชอบเรียนคำสอน ลูกได้ยินคนพูดถึงเรื่องพระองค์ แต่ลูกเองยังไม่เคยได้พบกับพระองค์ด้วยตัวของลูกเอง นี้แหละจึงทำให้ลูกไม่สามารถตอบคำถามของพระองค์ที่ว่า “แล้วท่านล่ะ ท่านว่าเราเป็นใคร” 

                โปรดช่วยลูกให้ได้พบพระองค์ไม่ใช่แต่ในการภาวนาพร้อมกันในหมู่คณะ หรือในครอบครัวของลูกเท่านั้น แต่ให้ลูกได้ยื่นมือเข้าช่วยเหลือบุคคลที่ยากไร้และขัดสน ทั้งด้วยคำภาวนาและกิจการ

                โปรดช่วยลูกให้ได้พบกันรอยยิ้มของพระองค์ในทุกกรณีของชีวิต เพื่อลูกจะได้ตอบคำถามของพระองค์ได้เช่นเดียวกับนักบุญเปโตรว่า “พระองค์คือพระคริสตเจ้า พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงชีวิต”
(แนวคิดของ Mark Link, SJ ใน Sunday Homilies)