สมโภชพระเยซูเจ้าเสด็จสู่สวรรค์ สมโภชพระเยซูเจ้าเสด็จสู่สวรรค์ 
  
          "สวรรค์" อันเป็นที่ประทับของพระเจ้าอยู่ที่ใด ?
          บางคนคิดว่าสวรรค์อยู่ทั่วไปทุกแห่ง เพราะว่าพระเจ้าทรงสถิตอยู่ทุกแห่งหน
         อย่างไรก็ตาม นักเทววิทยาส่วนใหญ่เชื่อว่ามีสถานที่พิเศษเฉพาะที่เหมาะสมกับสถานะแห่งความบรมสุขของบรรดาผู้ชอบธรรม ซึ่งอาศัยอยู่ร่วมกันด้วยสายสัมพันธ์แห่งความรัก โดยยังคงมีอิสระในการไปไหนก็ได้  สถานที่แห่งนี้เกี่ยวข้องกับโลกแต่ไม่อยู่ในโลกนี้ รายละเอียดอย่างอื่นไม่มีความแน่นอน และพระศาสนจักรเองก็ยังไม่ได้ตัดสินใจเกี่ยวกับเรื่องนี้
         สี่สิบวันหลังจากกลับคืนชีพ พระเยซูคริสตเจ้าทรงเสด็จสู่สวรรค์ด้วยฤทธานุภาพของพระองค์เองต่อหน้าบรรดาศิษย์ (มก 16:19; ลก 24:51; กจ 1)

         ไม่มีการระบุสถานที่ที่พระองค์เสด็จสู่สวรรค์อย่างแจ้งชัด แต่เชื่อกันว่าเป็นภูเขามะกอกเทศดังที่มีบันทึกไว้ว่า "บรรดาอัครสาวกเดินทางจากภูเขาที่เรียกว่า "ภูเขามะกอกเทศ" กลับไปยังกรุงเยรูซาเล็ม ภูเขานี้อยู่ใกล้กรุงเยรูซาเล็มเป็นระยะทางที่เดินได้ในวันสับบาโต" (กจ 1:12)

         ภาษาที่ใช้คือ "เสด็จขึ้นสวรรค์" ไม่ได้หมายความว่าสวรรค์อยู่เหนือโลก  อีกทั้งคำ "ประทับเบื้องขวาพระเป็นเจ้า" ก็ไม่ได้หมายความว่านี่คือที่นั่งประจำหรือพระองค์ต้องนั่งอยู่ในท่านี้ตลอดไป แต่ความหมายคือ
         -        พระเยซูเจ้าทรงสถิตกับพระบิดา
         -        พระองค์ทรงร่วมพระสิริรุ่งโรจน์
         -        และทรงร่วมพระฤทธานุภาพกับพระบิดา

แล้วจะเสด็จมาพิพากษาผู้เป็นและผู้ตาย
         การพิพากษาผู้เป็นและผู้ตายเป็นความจริงข้อหนึ่งที่พระคัมภีร์พูดถึงมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็น "วันของพระเจ้า" หรือ "การเสด็จกลับมาของพระคริสตเจ้า" ล้วนบ่งบอกถึงการพิพากษานี้

         พระเยซูเจ้าเองทรงทำนายถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในวันพิพากษา "สายฟ้าแลบจากทิศตะวันออกถึงทิศตะวันตกฉันใด บุตรแห่งมนุษย์ก็จะเสด็จมาฉันนั้น ที่ใดมีซากศพ ที่นั่นบรรดาแร้งกาก็จะมาชุมนุมกัน เมื่อความทุกขเวทนาในวันเหล่านั้นผ่านพ้นไปแล้วดวงอาทิตย์จะมืดทันที ดวงจันทร์จะไม่ส่องแสง ดวงดาวจะตกจากท้องฟ้า และอานุภาพบนท้องฟ้าจะสั่นสะเทือน เวลานั้น เครื่องหมายของบุตรแห่งมนุษย์จะปรากฏบนท้องฟ้ามนุษย์ทุกเผ่าพันธุ์บนแผ่นดินจะข้อนอก และจะเห็นบุตรแห่งมนุษย์เสด็จมาในเมฆบนท้องฟ้า ทรงพระอานุภาพและพระสิริรุ่งโรจน์อันยิ่งใหญ่  พระองค์จะทรงใช้บรรดาทูตสวรรค์ให้เป่าแตรเสียงดังรวบรวมผู้ที่ทรงเลือกสรรจากทั้งสี่ทิศ จากปลายหนึ่งจนถึงอีกปลายหนึ่งของท้องฟ้า" (มธ 24:27-31)

         พระศาสนจักรอธิบายเหตุผลที่ต้องมีการพิพากษาประมวลพร้อมนอกเหนือจากการพิพากษาทีละคนว่า
        -        เพื่อให้ความดีและความชั่วของแต่ละคนเป็นที่ปรากฏแก่ทุกคน
        -        ความดีและความชั่วของแต่ละคนขณะมีชีวิตย่อมส่งผลกระทบต่อลูกหลานเรื่อยไปจน กว่าจะสิ้นพิภพ เมื่อสิ้นพิภพ พระเจ้าจะพิพากษาประมวลพร้อมเพื่อเพิ่มพูนบุญกุศลนอกเหนือจากที่ได้ประทาน ให้คราวพิพากษาทีละคนให้แก่กิจการที่ส่งผลกระทบที่ดี และเพิ่มโทษให้แก่กิจการที่ส่งผลกระทบทางชั่ว

         หลังการพิพากษาประมวลพร้อม ความสัมพันธ์ระหว่างพระผู้สร้างและสิ่งสร้างจะบรรลุจุดสูงสุด มนุษยชาติจะบรรลุเป้าหมายสูงสุดตามพระประสงค์ของพระเจ้านั่นคือกลับมาหา พระองค์  และพระคริสตเจ้าจะครองราชย์เหนือสรรพสิ่ง

ข้าพเจ้าเชื่อถึงพระจิต
         ข้อความเชื่อนี้ประกอบด้วย 3 ประเด็นที่สำคัญคือ
          -        พระจิตทรงเป็นพระบุคคลที่สามในพระตรีเอกภาพ
         -        ในฐานะที่เป็นพระบุคคล พระองค์ทรงแตกต่างจากพระบิดาและพระบุตร กระนั้นก็ตามทรงมีพระธรรมชาติพระเจ้าเหมือนกัน และเท่าเทียมกัน
         -        พระองค์ทรง "เนื่อง" ไม่ใช่ "บังเกิด" จากพระบิดาและพระบุตร (ดูคำอธิบายในหัวข้อที่ 2 เรื่อง "เชื่อถึงพระเอกบุตรเยซูคริสต์สวามีของเรา")

         นักเทววิทยามักยกคุณสมบัติให้แต่ละบุคคลแตกต่างกันไปทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริง ทั้งสามพระบุคคลล้วนมีคุณสมบัติทั้งหมดร่วมกัน

         สิ่งที่นักเทววิทยายกให้เป็นคุณสมบัติของพระบิดาคือ ทรงสรรพานุภาพ และผลงานที่เด่นชัดคือการสร้างโลก

         ปรีชาญาณ และผลงานทั้งหมดของปรีชาญาณคือคุณสมบัติของพระบุตร เพราะว่าพระองค์ทรงบังเกิดจากสติปัญญาของพระบิดา

         ส่วนคุณสมบัติของพระจิต ผู้ทรงเนื่องมาจากความรักของพระบิดาและพระบุตร คือความรักและความดี
         เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์แห่งความรักและความดี พระจิตเจ้าทรงประทานพระพร 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ
         -        พระคุณ 7 ประการเพื่อทำให้แต่ละคนศักดิ์สิทธิ์ ประกอบด้วยปรีชาญาณ ความเข้าใจ คำแนะนำ ความกล้าหาญ ความรู้ ความศรัทธา และความยำเกรงพระเจ้า
         -        พระคุณพิเศษ (Charismata) ที่ทรงประทานแก่บางคนเพื่อความดีของส่วนรวม