ข้อคิดวันอาทิตย์ที่ 24 เมษายน 2011
(กิจการฯ 10:34, 36-43; โคโลสี. 3:1-4 ; ยอห์น. 20:1-9)
"องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพแล้วจริงๆ"

1. พี่น้องที่เคารพในพระคริสตเจ้า เนื่องในวันฉลองปัสกา วันที่พระเยซูเจ้าทรงฟื้นคืนชีพจากความตาย ขอให้พวกเราทุกคนได้รับสันติสุขและความชื่นชมยินดีขององค์พระเยซูคริสต์ องค์ผู้เป็นเจ้า ของเราอย่างเต็มบริบูรณ์
2. เราเองในฐานะคริสตชนต่างถือว่าวันปัสกาเป็นวันฉลองที่ยิ่งใหญ่หรือเป็นเอกที่สุดในการฉลองตามปฏิทินพิธีกรรมของเราคาทอลิก พระสันตะปาปาเลโอที่ 1 ทรงเรียกวันนี้ว่าเป็นวันฉลองแห่งการฉลอง หรือการฉลองที่ยิ่งใหญ่ที่สุด(festum festorum), และถือว่าวันฉลองคริสตมาสเป็นการเตรียมสู่การฉลองปัสกาเท่านั้น

3. พวกเราอาจจะสงสัยว่าทำไมการฉลองปัสกาจึงเป็นวันฉลองที่ยิ่งใหญ่หรือสำคัญที่สุดในปีพิธีกรรม ที่เป็นดังนี้เพราะว่า วันนี้เป็นวันที่เรารำลึกถึงการกลับฟื้นคืนชีพอย่างรุ่งโรจน์ขององค์พระเยซูเจ้าพระเจ้าของเรา ทั้งนี้ในวันนั้นมีประจักษ์พยานที่รู้เห็นเหตุการณ์นี้มากว่า 500 คน(1คร.15:5-8) พวกเขายืนยันโดยประกาศให้ทุกคนรับรู้ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพแล้วจริงๆ” (ลก.24:34)

4. ในวันฉลองปัสกานี้ เรารำลึกถึง “จุดเปลี่ยนที่สำคัญยิ่ง” ในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ชาติ  เราถวายเกียรติความสำเร็จใน “องค์แห่งความหวัง” ที่มนุษย์ชาติกำลังรอคอย “ขณะที่เรากำลังรอคอยการสำแดงพระองค์ในพระสิริรุ่งโรจน์ของพระคริสตเยซู พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่และพระผู้ไถ่ของเรา”(ทิตัส 2:13) เวลานี้แหละเป็นเวลาแห่งความสมหวังที่ทุกคนรอคอย เป็นเวลาที่ผู้ที่มีความเชื่อตั้งแต่ในอดีต ปัจจุบันและอนาคต ต่างได้รับพระพรแห่งการไถ่บาปโดยผ่านทางความตายและการกลับคืนพระชนมชีพของพระเยซูเจ้า

5. ทำไมการกลับฟื้นคืนชีพของพระเยซูเจ้าจึงเป็นเรื่องที่สำคัญ เรื่องนี้เราจะเข้าใจได้ดีเมื่อพิจารณาถึงผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นถ้าหากว่าพระเยซูเจ้าไม่ได้ทรงกลับฟื้นคืนชีพ นักบุญเปาโลได้พูดไว้อย่างชัดเจนว่า

6. “ ถ้าเราประกาศว่า พระคริสตเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตายแล้ว เพราะเหตุใดบางท่านจึงพูดว่าบรรดาผู้ตายจะไม่กลับคืนชีพเล่า ถ้าผู้ตายไม่กลับคืนชีพ พระคริสตเจ้าก็มิได้ทรงกลับคืนพระชนมชีพด้วยเช่นเดียวกัน ถ้าพระ คริสตเจ้ามิได้ทรงกลับคืนพระชนมชีพ การเทศน์สอนของเราก็ไร้ประโยชน์ และความเชื่อของท่านก็ไร้ประโยชน์เช่นเดียวกัน ยิ่งกว่านั้น เรากลายเป็นพยานเท็จถึงพระเจ้าเพราะเรายืนยันว่าพระเจ้าทรงปลุกพระคริสตเจ้าให้ทรงกลับคืนพระชนมชีพ ซึ่งพระองค์มิได้ทรงกระทำ ถ้าบรรดาผู้ตายไม่กลับคืนชีพ ถ้าผู้ตายไม่กลับคืนชีพ พระคริสตเจ้าก็มิได้ทรงกลับคืนพระชนมชีพด้วย ถ้าพระคริสตเจ้ามิได้ทรงกลับคืนพระชนมชีพ ความเชื่อของท่านก็ไร้ความหมายและท่านก็ยังคงอยู่ในบาป เมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้ที่ล่วงหลับไปในพระคริสตเจ้าก็พินาศไปด้วย  ถ้าเรามีความหวังในพระคริสตเจ้าเพียงเพื่อชีวิตนี้เท่านั้น เราก็เป็นมนุษย์ที่น่าสงสารที่สุด”(1คร.15:12-19)

7. “ความจริง พระคริสตเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตาย เป็นผลแรกของบรรดาผู้ล่วงหลับไปแล้ว ความตายมาจากมนุษย์คนหนึ่งฉันใด การกลับคืนชีพของบรรดาผู้ตายก็มาจากมนุษย์คนหนึ่งฉันนั้น มนุษย์ทุกคนตายเพราะอาดัมฉันใด มนุษย์ทุกคนก็จะกลับมีชีวิตเพราะพระคริสตเจ้าฉันนั้น”(1คร.15:20-22)

8. แท้จริงแล้ว การที่พระเยซูคริสต์ทรงกลับฟื้นคืนชีพจากความตายของพระองค์นั้น พระองค์ไม่ได้ทรงต้องการใช้เพื่อพิสูจน์ว่าพระองค์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า แต่การกลับฟื้นคืนชีพของพระองค์นั้น พระองค์ทรงกระทำเพื่อพิสูจน์ว่า “เราทุกคนจะไม่ตาย แต่เราทุกคนจะเปลี่ยนแปลง ทันทีทันใด ชั่วพริบตา เมื่อเป่าแตรครั้งสุดท้าย เสียงแตรจะดังขึ้น แล้วผู้ตายจะกลับคืนชีพอย่างไม่เน่าเปื่อย และเราจะเปลี่ยนแปลง เพราะธรรมชาติที่เน่าเปื่อยได้ของเรานี้ จะต้องสวมใส่ความไม่เน่าเปื่อย และธรรมชาติที่ต้องตายนี้ จะต้องสวมใส่ความไม่รู้จักตาย เมื่อสิ่งที่เน่าเปื่อยนี้สวมใส่ความไม่เน่าเปื่อย และเมื่อธรรมชาติที่ต้องตายนี้สวมใส่ความไม่รู้จักตายแล้ว ก็จะเป็นจริงตามคำที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า ‘ความตายเอ๋ย ชัยชนะของเจ้าอยู่ที่ไหน ความตายเอ๋ยพิษของเจ้าอยู่ที่ไหน” (1คร.15:51-55)

9. พี่น้องที่เคารพ จากบทอ่านที่สอง เราได้ฟังคำสั่งสอนจากจดหมายของนักบุญเปาโลถึงชาวโคโลสี จากบทอ่านนี้ทำให้เรารู้ว่า เมื่อความจริงของชีวิตเป็นอย่างนี้แล้ว เราจะต้องประพฤติปฏิบัติตัวอย่างไร “ถ้าท่านทั้งหลายกลับคืนชีพพร้อมกับพระคริสตเจ้าแล้วก็จงใฝ่หาแต่สิ่งที่อยู่เบื้องบนเถิด ณ ที่นั้นพระคริสตเจ้าประทับเบื้องขวาของพระเจ้า จงคิดถึงแต่สิ่งที่อยู่เบื้องบน อย่าพะวงถึงสิ่งของบนแผ่นดินนี้ เพราะท่านทั้งหลายตายไปแล้วและชีวิตของท่านก็ซ่อนอยู่กับพระคริสตเจ้าในพระเจ้า”(คส. 3:1-3)

10. สำหรับเราคริสตชนนั้น วันฉลองปัสกาเป็นวันแห่งความชื่นชมยินดีเพราะว่าเป็นวันที่เราไดรับชีวิตใหม่ เป็นชีวิตใหม่ในพระคริสดเจ้าที่เราได้รับโดยผ่านทางศีลล้างบาป วันนี้เป็นวันแห่งความชื่นชมยินดีเพราะในวันเหล่านี้เรามีพี่น้องชายหญิงจำนวนมากที่ได้รับศีลล้างบาปเข้ามาเป็นบุตรของพระเจ้าอย่างเต็มศักดิ์ศรี เป็นวันแห่งความชื่นชมยินดีเพราะเป็นวันที่พี่น้องหลายคนที่ได้เหินห่างออกไปจากความสัมพันธ์กับพระเจ้าได้กลับมาหาพระองค์ด้วยศีลอภัยบาปและศีลมหาสนิท เป็นวันแห่งความชื่มชมยินดีในความสัมพันธ์เป็นหนึ่งเดียวของผู้ศักดิ์สิทธิ์ในพระกายทิพย์ขององค์พระเยซูคริสตเจ้า บรรดานักบุญและทูตสวรรค์ต่างชื่นชมยินดีพร้อมกับเราเพราะว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพแล้วจริงๆ”(ลก.24:34)

11. ในการฉลองปัสกาในวันนี้ ความยินดีของเราในพระคริสเจ้านั้นสามารถแสดงออกได้ในหลากหลายวิธีด้วยกัน เช่น การร่วมใจกันสรรเสริญพระเจ้าด้วยความเป็นน้ำหนึ่งเดียวกันในพิธีมิสซาบูชาขอบพระคุณ แสดงออกด้วยการเฉลิมฉลองกันในครอบครัว จัดให้มีการกินเลี้ยงหรือจัดหาอาหารพิเศษมาเฉลิมฉลองกัน เชิญเพื่อนฝูงหรือญาติพี่น้องมาร่วมยินดีด้วยกัน เราอาจจะเชิญเพื่อนๆที่สนใจอยากรู้เรื่องพระเยซูเจ้าม่าร่วมในงานเลี้ยงและอธิบายเรื่องการฉลองปัสกาให้เพื่อนฟัง เราอาจจะเฉลิมฉลองปัสกาด้วยการจัดการละเล่นสนุกสนานให้กับเด็กๆทั้งในบ้านเราหรือละแวกใกล้บ้าน เราอาจจะช่วยกันไปเลี้ยงอาหารคนชราหรือเด็กยากจน เราอาจจะไปทำกุศลในสถานสงเคราะห์ต่างๆ หรือหากิจการอื่นๆที่เป็นการแบ่งปันความยินดีให้แก่ผู้อื่น นี้แหละการฉลองปัสกาที่แท้จริงของเรา สิ่งที่เราควรกระทำก็คือ ใช้โอกาสนี้เพื่อการประกาศข่าวดีหรือแพร่ธรรมด้วย

12. พี่น้องครับ การกลับคืนชีพอย่างรุ่งโรจน์ของพระเยซูคริสตเจ้าท่ามกลางประจักษ์พยานนับร้อยๆคนในอดีตนั้น เป็นการพิสูจน์ว่าวันหนึ่งเราก็จะกลับฟื้นคืนชีพเช่นเดียวกัน และเราจะได้เข้าไปอยู่ร่วมกันในครอบครัวใหญ่ของพระเจ้า เป็นครอบครัวที่ไม่มีวันจะเปลี่ยนแปลงอีกแล้ว ชีวิตในโลกนี้เป็นเพียงเวลาชั่วคราวเท่านั้น สิ่งที่เรารอคอยนั้นเป็นสิ่งที่ดีกว่าและยิ่งใหญ่กว่า การเฉลิมฉลองพร้อมกันในวันนี้เป็นการเตือนใจกันและกัน และให้กำลังใจกันและกันเพื่อให้เราแต่ละคนมุ่งหน้าไปให้ถึงเป้าหมายที่แท้จริงในชีวิต และขอให้เราอย่าลืมที่จะชักชวนคนอื่นๆให้ร่วมทางไปกับเราด้วย