ข้อคิดวันอาทิตย์ที่ 20 มีนาคม 2011
(หนังสือปฐมกาล 12:1-4)
"พระเจ้าทรงเรียกท่าน"

1. เราเข้าสู่สัปดาห์ที่ 2 ของเทศกาลมหาพรต พิธีกรรมในวันนี้เตือนใจเราให้คิดถึงคำสัญญาแห่งศีลล้างบาปที่เป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางฝ่ายจิตของเราเพื่อมุ่งหน้าไปรับพระสิริรุ่งโรจน์และพระพระฝ่ายจิตวิญญาณของเราแต่ละคน
2. วันนี้ขอนำข้อคิดจากบทอ่านที่ 1 ซึ่งมาจากหนังสือปฐมกาล 12:1-4 พระเจ้าทรงเรียกอับราม
1พระยาห์เวห์ตรัสแก่อับรามว่า “จงออกจากแผ่นดินของท่าน จากญาติพี่น้อง จากบ้านของบิดา ไปยังแผ่นดินที่เราจะชี้ให้ท่าน  2เราจะทำให้ท่านเป็นชนชาติใหญ่ จะอวยพรท่าน จะทำให้ท่านมีชื่อเสียงเลื่องลือ ท่านจะนำพระพรมาให้ผู้อื่น  3เราจะอวยพรผู้ที่อวยพรท่าน เราจะสาปแช่งผู้ที่สาปแช่งท่าน บรรดาเผ่าพันธุ์ทั้งสิ้นทั่วแผ่นดิน จะได้รับพรเพราะท่าน”
4อับรามจึงออกเดินทางตามที่พระยาห์เวห์ตรัส โลทไปกับเขาด้วย อับรามมีอายุเจ็ดสิบห้าปีเมื่อเขาออกจากฮาราน  5อับรามพานางซาราย ภรรยาของตนกับโลท บุตรของน้องชายและทรัพย์สมบัติทั้งหมดที่ได้สะสมไว้ รวมทั้งบรรดาผู้คนที่หามาได้ในเมืองฮาราน ออกเดินทางไปยังแผ่นดินคานาอัน 

3. พระเจ้าทรงเรียกอับราม(อับราฮัม)ให้เป็น “บิดาฝ่ายจิต” ของมนุษย์ชาติ ชีวิตของอับราฮัมเป็นการเริ่มต้นของศักราชใหม่แห่งความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ ซึ่งอับราฮัมได้รับการเรียกให้มารับใช้พระเจ้าขณะที่มีอายุ 75 ปี(ปฐก.12:4) นี้เป็นแผนการของพระเจ้าที่ทรงใช้คนๆหนึ่งให้เข้ามาร่วมงานการไถ่บาปมนุษย์ (แม้ว่าจะมีอายุมากแล้วก็ตาม)

4. พระเจ้าทรงเรียกอับราฮัมให้พาญาติพี่น้องเดินทางออกจากบ้านเกิดเมืองนอน และให้เดินทางไปยังดินแดนที่พระเจ้าจะทรงชี้นำต่อไป(ปฐก.12:)

5. จากพระคัมภีร์ตอนนี้เราเรียนรู้ได้ว่า ในสายสัมพันธ์กับพระเจ้า หรือการแสวงหาพระพรของพระเจ้านั้น อับราฮัมไม่ได้เป็นผู้ริเริ่ม แต่เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าเองที่ทรงเป็นผู้เริ่ม ดังนั้นเมื่อเทียบเคียงกับชีวิตการเป็นคริสตชนของเราแล้ว ไม่ใช่ตัวเราที่เริ่ม แต่เป็นพระประสงค์ของพระเจ้าที่ทรงเลือกเรามา นี้เป็น “พระพร” หรือ “พระหรรษทาน” ที่เข้ามาในชีวิตของเรา ตามคำสอนของนักบุญยอห์นที่ว่า “ความรักอยู่ที่ว่าพระเจ้าทรงรักเรา และทรงส่งพระบุตรของพระองค์มาเพื่อชดเชยบาปของเรา มิใช่อยู่ที่เรารักพระเจ้า” (1ยน.4:10)

6. การ “ตอบรับ” (fiat ฟีอัต) ของอับราฮัมมีความหมายสำคัญ 2 ประการ ประการแรก อับราฮัมได้ทิ้งชีวิตเก่าๆในอดีตอย่างหมดสิ้น ประการที่สอง อับราฮัมเลือกที่จะดำเนินชีวิตหรือ “อพยพ” ไปตามเส้นทางที่พระเจ้าทรงชี้แนะ เรื่องนี้เป็นบทสอนที่เทียบเคียงกับชีวิตของเราเช่นกัน เมื่อเรายอมรับพระคริสตเจ้าเข้ามาในชีวิตของเราโดยผ่านทางความเชื่อในพระเยซูเจ้าและทางศีลล้างบาป เราจึงได้รับการเรียกร้องให้ทิ้งชีวิตเก่าๆของเราในอดีต “ถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสตเจ้า ผู้นั้นก็เป็นสิ่งสร้างใหม่ สภาพเก่าผ่านพ้นไป สภาพใหม่เกิดขึ้นแล้ว” (2คร.5:17) และการเดินทางหรือการ “อพยพ” ฝ่ายจิตของเรานั้นการเดินทางไปตามเส้นทางแห่งพระพรแห่งศีลศักดิ์สิทธิ์ภายใต้การบริการต่างๆของพระศาสนจักรศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นพระกายทิพย์ของพระเยซู ทั้งนี้โดยอาศัยฤทธิอำนาจของพระจิตเจ้าที่ทรงประทับอยู่ในตัวเรา เราได้รับความศักดิ์สิทธิ์เพื่อจะได้เป็นลูกที่มีคุณค่าของพระเจ้าผู้ซึ่งเราจะได้ไปอยู่ด้วยอย่างนิรันดรในพระอาณาจักรสวรรค์

7. บทเรียนอีกประการหนึ่งที่เราได้เรียนรู้จากชีวิตของอับราฮัมก็คือ อับราฮัมได้เข้ามารับใช้พระเจ้าในขณะที่มีอายุถึง 75 ปีแล้ว เมื่อพระเจ้าทรงเรียก อับราฮัมไม่ได้ตอบว่า “โอ..พระเจ้า ขอโปรดรอให้ข้าพเจ้าได้มีเวลาคิดสักหน่อยได้ไหม” หรือ “โอ..ลูกไม่ไหวแล้ว ลูกแก่แล้ว” หรือคำปฏิเสธต่างๆ ทำให้เราคิดถึงการ “ตอบรับ” หรือ “ฟีอัต” ของพระแม่มารีย์ ทั้งสองกรณีเป็นการตอบรับแบบไม่มีเงื่อนไข นี้เป็นแบบอย่างในชีวิตของเราในการเข้าทำงานรับใช้พระเจ้า ไม่ว่าจะเป็นงานส่วนตัวหรือเข้าเป็นสมาชิกในองค์กรใดองค์หนึ่งของวัดที่ท่านสังกัดอยู่ เป็นต้นในการทำหน้าที่เป็นผู้แพร่ธรรมหรือการประกาศข่าวดีของพระเจ้า

8. ในขณะที่เรากำลังอยู่ในเทศกาลมหาพรตนี้ ขอให้เราอย่าได้รีรอที่จะรับใช้พระเจ้าด้วยความยินดี ไม่ว่าจะเป็นงานอะไรก็ตาม