ข้อคิดวันอาทิตย์ที่ 6 มีนาคม 2011
(เฉลยธรรมบัญญัติ 10:12-13,11:18,16-28; โรม 1:16-17, 3:20-26,28; มัทธิว 7:21-27)
"จงดำเนินชีวิตในหนทางของพระเจ้า"

1. พี่น้องที่รัก ข่าวดีสำหรับการดำเนินชีวิตประจำสัปดาห์นี้ คือ “จงดำเนินชีวิตในหนทางของพระเจ้า” ใครก็ตามที่ปฏิบัติตนเช่นนี้จะได้รับพระพร ส่วนใครที่ประพฤติปฏิบัติตรงกันข้ามกับหนทางของพระเจ้า บุคคลนั้นก็จะได้รับกับการพิพากษาของพระองค์ คำเตือนของพระเจ้านั้นชัดเจนเหมือนกับสีขาวกับสีดำ ชีวิตของเราคริสตชนจะต้องไม่มีสีเทา
2. บทอ่านที่หนึ่งในวันนี้ เตือนเราถึงเรื่องของวันแห่งการพิพากษาครั้งสุดท้าย(ซึ่งเป็นความเชื่อหนึ่งที่บรรจุอยู่ในบทข้าพเจ้าเชื่อ) ดังนั้นในวันนี้ท่านต้องตัดสินใจอย่างเด็ดขาดว่าจะเอาอย่างไรกับชีวิต จะดำเนินชีวิตในหนทางของพระเจ้า หรือเลือกที่จะมีชีวิตที่ตรงกันข้ามกับคำสอนของพระองค์ หมายความว่าใครที่เป็นอะไรก็ขอให้ดำเนินชีวิตอย่างสัตย์ตามฐานะของตน ใครที่เป็นครูผู้สอนหรือผู้ให้การอบรมก็ต้องดำเนินชีวิตเป็นแบบอย่างและปฏิบัติตามที่ตนเองได้สั่งสอนผู้อื่น ใครที่เป็นข้าราชการก็ให้ปฏิบัติตนเป็นข้าแผ่นดินที่ดี ทำงานรับใช้ประชาชนด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ใครเป็นนักการเมืองก็ขอให้เป็นผู้แทนที่ดี ทำให้ชาติบ้านเมืองมีความยุติธรรมและสงบสุข ตามคำสอนของพระเจ้า เราจะต้องไม่แยกระหว่างหน้าที่การงานกับชีวิตของการเป็นคาทอลิก เช่น ถ้าเราเป็นนักการเมือง มีหน้าที่ออกกฎหมาย นักการเมืองคาทอลิกนั้นจะต้องไม่ให้การสนับสนุนกฎหมายอะไรก็ตามที่ขัดต่อความยุติธรรม หรือผิดศีลธรรม หรือกฎหมายที่ทำลายศักดิ์ศรีของมนุษย์  การทำแท้ง การหย่าร้าง การแต่งงานระหว่าคนเพศเดียวกัน ฯลฯ หมายความว่าเราจะต้องนำเอาคำสอนของพระเจ้าไปปฏิบัติทั้งชีวิตส่วนตัวและในหน้าที่การงาน เราจะต้องไม่ตีสองหน้า หรือทำอะไรที่ขัดแย้งกับคำสอนของพระเจ้า วิบัติแก่คนที่ตีสองหน้า เพราะจะไม่มีพื้นที่ในเมืองสวรรค์สำหรับบุคคลที่ประพฤติตนเช่นนี้

3. ในขณะที่บทอ่านที่สอง เราได้ยินคำสอนของนักบุญเปาโลพูดถึงตนเองว่า “ข้าพเจ้าเห็นว่าไม่มีเหตุผลใดที่จะต้องละอายต่อข่าวดี” เช่นเดียวกันกับเราในฐานะที่เป็นคาทอลิกเราจะต้องไม่อายต่อข่าวดีของพระเจ้า และยืนหยัดปกป้องคนที่ทำความดีและกล้าที่จะขัดแย้งกับบุคคลที่ทำไม่ถูกต้อง

4. ใครก็ตามที่ละอายต่อข่าวดีของพระเจ้า พระเจ้าองค์จะทรงพิพากษาเขา พระองค์จะทรงพิพากษาระหว่างความเชื่อกับการกระทำ ตามคำสอนของนักบุญยากอบที่ว่า “ร่างกายที่ปราศจากวิญญาณย่อมตายแล้วฉันใด ความเชื่อที่ไม่มีการกระทำก็ย่อมตายแล้วฉันนั้น” (ยก.2:26) นี้เป็นคำสอนที่ชัดเจนมาก ใช่ไหม?

5. บุคคลที่มีความเชื่อ โดยอาศัยความช่วยเหลือจากพระจิตเจ้า พระจิตจะทรงดลใจให้กระทำแต่กิจการที่ดี การทำดีจึงเป็นเรื่องปรกติของคนที่มีความเชื่อ แต่เชื่ออย่างเดียวโดยไม่มีการกระทำ ก็จะไม่ได้รับความรอด ดั่งคำสอนของนักบุญยากอบที่ว่า “อาจมีบางคนพูดว่า ‘บางคนมีความเชื่อ บางคนมีการกระทำ’ ถ้าเป็นเช่นนั้นจงแสดงความเชื่อที่ไม่มีการกระทำให้ข้าพเจ้าเห็นเถิด แล้วข้าพเจ้าจะแสดงความเชื่อให้ท่านเห็นด้วยการกระทำ” (ยก.2:18) ถ้าคนใดคนหนึ่งต้องถูกพระเจ้าพิพากษา คนที่จะรอดได้นั้นต้องมีทั้งสอง ทั้งความเชื่อและการกระทำดี ทั้งสองจะแยกออกจากกันไม่ได้ ความดีของคนจะต้องเป็นการกระทำดีที่มาจากความเชื่อ ด้วยเหตุนี้นักบุญยากอบจึงสอนว่า “,มนุษย์จะเป็นผู้ชอบธรรมได้ก็ด้วยการกระทำ มิใช่ด้วยความเชื่อแต่อย่างเดียว” (ยก.2:24)

6. คำสอนจากพระคัมภีร์หรือข่าวดีของพระเจ้านั้น ไม่ใช่เป็นเพียงข้อความธรรมดาๆหรือหลักปรัชญา หรือระบบความคิดใดความคิดหนึ่ง แต่เป็นเรื่องของไม้กางเขน(1คร1:18)

7. เรื่องความเชื่อมีสองระดับ หนึ่งคือเป็นความเชื่อในระดับเริ่มแรก คือ เชื่อว่าความรอดมาพระเยซูคริสตเจ้า พระเยซูเจ้าทรงเป็นพระผู้ไถ่ของเรา จากนั้นเป็นความเชื่อที่สมบูรณ์กว่าคือการเติบโตในความเชื่อด้วยมีความเข้าใจในความรู้และปรีชาญาณของพระเจ้าซึ่งมีอยู่ในคำสอนของพระศาสนจักรและศีลศักดิ์สิทธิ์

8. จากที่ได้พูดมาตั้งแต่ต้นแล้วว่า ใครไม่ปฏิบัติตามคำสอนของพระเจ้าจะต้องถูกพระเจ้าพิพากษา คำเตือนของนักบุญเปาโลนี้ไม่ได้เตือนเฉพาะชาวยิวหรือชาวกรีกเท่านั้น แต่เตือนใจเราแต่ละคนด้วย

9. ความรอดพ้นของเราคริสตชนนั้นขึ้นอยู่กับพระเมตตารักของพระเจ้า ไม่ได้ขึ้นอยู่กับตัวของเรา พระเมตตาของพระเจ้าหรือการเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงโปรดปรานนั้นเป็นของประทานที่พระองค์ประทานให้อย่างเปล่าๆ ไม่คิดมูลค่าหรือต้องจ่ายเงินแต่อย่างใด เป็นของขวัญหรือของประทานที่พระเจ้าทรงมอบให้มนุษย์ทุกคน เรามนุษย์ล้วนแต่เป็นคนบาป การที่เราทำดีได้นั้น เป็นพระพรที่เราต้องวอนขอพระอยู่เสมอๆด้วย ภาวนาวอนขอทุกๆวัน

10. ในบทพระวรสาร เราได้ฟังคำสอนของพระเยซูเจ้าที่ว่า “คนที่กล่าวว่า ‘พระเจ้าข้า พระเจ้าข้า’ นั้น มิใช่ทุกคนที่จะได้เข้าสู่พระอาณาจักรของพระเจ้า แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระบิดาของเรา ผู้สถิตในสวรรค์นั้นแหละจะเข้าสู่สวรรค์ได้” ส่วนอีกหลายคนพระเจ้าจะตรัสว่า “เราไม่เคยรู้จักท่านทั้งหลายเลย ท่านที่กระทำความชั่ว จงไปให้พ้นหน้าเรา”

11. “คนที่ทำตามน้ำพระทัยของพระบิดาเจ้าสวรรค์เท่านั้นที่จะได้เข้าสู่เมืองสวรรค์” นี้เป็นคำสอนที่ทรงคุณค่ามาก ในโลกของเรามีศาสนามากกว่า 3,000 ศาสนาที่แตกต่างกันไป และทุกศาสนาต่างมุ่งไปสู่ความรอดพ้นด้วยกันทั้งนั้น แต่สำหรับเรา เราเชื่อว่ามีพระเจ้าแต่เพียงผู้เดียว มีพระศาสนจักรแต่เพียงหนึ่งเดียว มีพระกายของพระเยซูคริสตเจ้าแต่เพียงหนึ่งเดียว มีความจริงแท้แต่ประการเดียว มีพระจิตเพียงหนึ่งเดียว พระเยซูเจ้าทรงก่อตั้งพระศาสนจักรและศีลศักดิ์สิทธิ์เพื่อเป็นหนทางหรือเครื่องมือที่จะพาเราไปเข้าหาและอยู่กับพระบิดาเจ้าสวรรค์ได้อย่างแท้จริง

12. ความแตกแยกไม่ได้เป็นผลของพระจิตเจ้าแต่เป็นผลมาจากความหยิ่งผยอง บุคคลที่ละทิ้งความเชื่อเพื่อดำเนินชีวิตตามใจชอบของตนเอง จะได้รับความรอดหรือ บุคคลที่ไม่ยอมรับว่าพระเยซูเจ้าทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าและพระผู้ไถ่บาป เขาจะได้รับความรอดพ้นหรือ? การทำดีเพียงอย่างดีก็ยังไม่เพียงพอ แต่ต้องการทำดีเพราะความรัก(1คร.13:2)

13. พระบิดาเจ้าทรงทดสอบเราโดยขอให้เรา “จงทำตามที่เราได้บอกท่าน” ข้าแต่พระบิดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ โปรดเฝ้ารักษาบรรดาผู้ที่ทรงมอบให้ข้าพเจ้าไว้ในพระนามของพระองค์ เพื่อเขาจะได้เป็นหนึ่งเดียวกัน เหมือนกับพระองค์และข้าพเจ้า”(ยน.17:11) คำสอนของพระองค์เป็นการเรียกร้องและท้าทายให้เราได้ลงมือปฏิบัติ คำสอนของพระองค์ไม่ใช่คำสอนธรรมดาๆ หรือเพียงเข้าใจคำสอนก็ยังไม่เพียงพอ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการนำเอาคำสอนไปปฏิบัติจริงๆในชีวิตประจำวัน “จงดำเนินชีวิตตามหนทางของพระเจ้า”

-----------------------------------------------------------
บทอ่านที่ 1
1บัดนี้ ชาวอิสราเอลทั้งหลายเอ๋ย องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านทรงประสงค์สิ่งใดจากท่านเล่า พระองค์ทรงประสงค์ให้ท่านยำเกรงองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่าน ให้เดินตามทุกวิถีทางของพระองค์ ให้รัก และรับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้า  พระเจ้าของท่านสุดจิตใจและสุดวิญญาณ  ให้ปฏิบัติตามบทบัญญัติขององค์พระผู้เป็นเจ้า และข้อกำหนดที่ข้าพเจ้ามอบให้ท่านในวันนี้ เพื่อความดีของท่าน
ท่านทั้งหลายจะต้องใส่ถ้อยคำเหล่านี้ของข้าพเจ้าไว้ในใจและในวิญญาณของท่าน ท่านจะต้องผูกไว้ที่มือเป็นเครื่องหมาย คาดไว้ที่หน้าผาก 
ท่านจะต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดและกฎเกณฑ์ทุกประการที่ข้าพเจ้าประกาศต่อหน้าท่านในวันนี้อย่างเคร่งครัด

บทอ่านที่ 2
1คร 1:17-31 ปรีชาญาณและความโง่เขลา

พระคริสตเจ้ามิได้ทรงส่งข้าพเจ้ามาทำพิธีล้างบาป แต่ทรงส่งมาประกาศข่าวดีมิใช่ด้วยการใช้โวหารอันชาญฉลาด ด้วยเกรงว่าจะทำให้ไม้กางเขนของพระคริสตเจ้าเสื่อมประสิทธิภาพ ผู้ที่จะพินาศนั้นเห็นว่าคำสอนเรื่องไม้กางเขนเป็นความโง่เขลา แต่พวกเราที่กำลังจะรอดพ้นเห็นว่าเป็นพระอานุภาพของพระเจ้า มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า “เราจะทำลายความปรีชาของผู้มีปัญญา และจะทำให้ไหวพริบของคนฉลาดหมดสิ้นไป คนฉลาดปราดเปรื่องอยู่ที่ใดเล่า บัณฑิตอยู่ที่ใดเล่า” และนักโต้ปัญหาของโลกนี้อยู่ที่ใดเล่า พระเจ้ามิได้ทรงบันดาลให้ความปรีชาฉลาดของโลกนี้กลายเป็นความโง่เขลาไปดอกหรือ เพราะตามพระปรีชาญาณของพระเจ้า โลกมิได้รู้จักพระองค์โดยอาศัยความปรีชาฉลาดของตน พระเจ้าจึงพอพระทัยช่วยผู้มีความเชื่อให้รอดพ้นโดยการเทศน์สอนเรื่องโง่เขลา ขณะที่ชาวยิวเรียกร้องขอดูอัศจรรย์ และชาวกรีกแสวงหาปรีชาญาณ (23)เรากลับประกาศเรื่องพระคริสตเจ้าผู้ทรงถูกตรึงกางเขน อันเป็นข้อขัดข้องมิให้ชาวยิวรับไว้ได้และเป็นเรื่องโง่เขลาสำหรับชาวกรีก 

บทพระวรสาร
มธ 7:21-27  ศิษย์แท้

“คนที่กล่าวแก่เราว่า ‘พระเจ้าข้า พระเจ้าข้า’ นั้นมิใช่ทุกคนจะได้เข้าสู่อาณาจักรสวรรค์ แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระบิดาของเรา ผู้สถิตในสวรรค์นั่นแหละจะเข้าสู่สวรรค์ได้  ในวันนั้นหลายคนจะกล่าวแก่เราว่า ‘พระเจ้าข้า พระเจ้าข้า ข้าพเจ้าทั้งหลายได้ประกาศพระวาจาในพระนามของพระองค์ ขับไล่ปีศาจในพระนามของพระองค์ และได้กระทำอัศจรรย์หลายประการในพระนามของพระองค์มิใช่หรือ’ เมื่อนั้น เราจะกล่าวแก่เขาว่า ‘เราไม่เคยรู้จักท่านทั้งหลายเลย ท่านผู้กระทำความชั่ว จงไปให้พ้นหน้าเรา’
“ผู้ใดฟังถ้อยคำเหล่านี้ของเราและปฏิบัติตาม ก็เปรียบเสมือนคนมีปัญญาที่สร้างบ้านไว้บนหิน  ฝนจะตก น้ำจะไหลเชี่ยว ลมจะพัดโหมเข้าใส่บ้านหลังนั้น บ้านก็ไม่พัง เพราะมีรากฐานอยู่บนหิน ผู้ใดที่ฟังถ้อยคำเหล่านี้ของเรา และไม่ปฏิบัติตามก็เปรียบเสมือนคนโง่เขลาที่สร้างบ้านไว้บนทราย เมื่อฝนตก น้ำไหลเชี่ยว ลมพัดโหมเข้าใส่บ้านหลังนั้น มันก็พังทลายลงและเสียหายมาก”