การภาวนา พระเจ้าทรงประทับอยู่ในทุกสิ่ง
การภาวนา พระเจ้าทรงประทับอยู่ในทุกสิ่ง

             ความสำนึกเรื่องพระเจ้าประทับอยู่ในทุกสิ่งเป็นเรื่องที่สำคัญต่อการภาวนาของเรา เด็กของเราควรได้รับการฝึกอบรมและให้ได้สัมผัสพระเจ้าในทุก ๆ กรณีของชีวิต ในทุกสิ่งที่เขาเห็น ในทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นต้นในตัวบุคคลต่าง ๆ ที่เขาพบเห็น
             ความสำนึกเช่นนี้ก่อนอื่นจะต้องได้รับการปลูกฝังจากครอบครัว ปู่ย่าตายาย จากโรงเรียนโดย  ครูคำสอน จากทางวัดคือบรรดาพระสงฆ์นักบวชต่าง ๆ
             ตัวอย่างของครอบครัวหนึ่งที่อยู่ในบรรยากาศแห่งความรักและศรัทธาต่อพระเจ้าอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในบ้าน ทั้งพ่อและแม่จะสวดภาวนาอยู่เสมอ ครั้งหนึ่งมาพายุพัดแรงและฝนก็ตกหนัก แถมมีฟ้าร้องและฟ้าผ่าอย่างน่ากลัว เด็กคนนั้นเห็นแม่ของเขาใช้น้ำเสกพรมไปข้างนอกแล้วบอกกับเขาว่าไม่ต้องกลัวพระเจ้าทรงคุ้มครองบ้านของเรา เวลากินข้าวก็สวด ก่อนนอนก็สวดพร้อมกัน เวลามีใครไม่สบายพ่อและแม่ก็จะพาลูกสวดภาวนาเวลามีข่าวดีๆ พ่อแม่ก็จะให้สวดขอบพระคุณพระเจ้า

 

การให้การอบรมเด็ก ๆ ของเรา
        เด็ก ๆ ควรได้รับการฝึกอบรมให้รู้สึกถึงการประทับอยู่ของพระเจ้าในชีวิตของเรา ต้องให้เขาเกิดความรับรู้ว่าพระเจ้าทรงรักเขาโดยผ่านทางบุคคลต่าง ๆ การให้เกิดสำนึกเช่นนี้ไม่เพียงแต่ให้เด็ก ๆ เกิดความรู้สึกสำนึกในบุญคุณของพระเจ้าและขอบพระคุณพระเจ้าหรือสรรเสริญพระเจ้าเท่านั้น  แต่การฝึกอบรมเช่นนี้จะทำให้เด็ก ๆ เกิดความรักตนเอง ที่เขารักตนเองเพราะเขาสำนึกว่าพระเจ้าทรงรักเขา ผลที่จะเกิดต่อไปคือเขาจะต้องใช้ชีวิตที่พระเจ้าให้ หรือพระพรที่พระเจ้าประทานให้อย่างรู้คุณค่าและหาทางตอบแทนพระคุณของพระองค์ด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง

 

ตัวอย่างในการสร้างจิตสำนึกนี้กับเด็ก ๆ ของเรา
          ถ้าเด็ก ๆ ของเราสามารถทำอะไรได้ประสบผลสำเร็จ แทนที่เราจะชมเชยยกย่องเขาตามปกติแล้ว   เราควรที่จะสอนเขาให้รู้จักขอบพระคุณพระเจ้าที่ได้ประทานโอกาสให้เขาได้แสดงความสามารถ  ครูอาจจะใช้พระคัมภีร์คำภาวนาของแม่พระ ในพระวรสารของ น.ลูกา 1:46;49 ให้เขาภาวนา “วิญญาณข้าพเจ้าประกาศความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า...พระผู้ทรงสรรพานุภาพทรงกระทำกิจการยิ่งใหญ่สำหรับข้าพเจ้า” คือการสอนให้มีใจสุภาพและถวายความดีหรือความสำเร็จให้พระเจ้า

           เมื่อเผชิญกับความยากลำบากหรือความทุกข์เราควรให้กำลังใจเด็ก ๆ ของเรา ว่าพระเจ้าทรงเป็นที่หลบภัยของเรา พระเจ้าทรงเป็นที่พึ่งของเรา ให้เราไว้วางใจในความรักของพระองค์

           ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นความสำเร็จ ความสามารถ ความคาดหวัง ความใฝ่ฝันในชีวิต ทุกกรณีนำเราให้เข้าหาพระเจ้าด้วยการภาวนาได้ทั้งนั้น หน้าที่ของเราคือช่วยเด็ก ๆ ของเราให้สามารถภาวนาได้อย่างมีสำนึกในทุกกรณีของชีวิต บทสดุดีที่ 139 สะท้อนให้เห็นถึงความจริงในเรื่องนี้

 

การประทับอยู่ของพระเจ้าในสิ่งต่าง ๆ
           เด็ก ๆ ในสังคมปัจจุบันยิ่งที่อยู่ในสังคมที่เจริญแล้วเติบโตขึ้นมาพร้อมกับสภาพแวดล้อมที่พร้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ทั้งสิ่งของทางธรรมชาติและสิ่งผลิตจากเทคโนโลยีสมัยใหม่ต่างๆ เราเองจะต้องสอนเขาให้รู้จักชื่นชมกับสิ่งต่างๆ เหล่านี้และรู้จักใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดตามชนิดของมันและให้เด็กๆ มองสิ่งของต่างๆ นั้นว่าเป็นเครื่องหมายที่แสดงให้เห็นถึงความรักและความดีงามของพระเจ้า เราไม่เพียงแต่ให้เขาได้เปิดจิตใจและสติปัญญาต่อการประทับอยู่ของพระองค์ในสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้นเท่านั้น แต่เราต้องให้เขามีทัศนคติที่เคารพต่อสิ่งสร้างทุก ๆ อย่าง ทั้งสภาพแวดล้อม ธรรมชาติ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีต่าง ๆ

           มีครูคำสอนท่านหนึ่งพยายามสอนแบบนี้ให้ลูกศิษย์ของเขา เขาใช้เวลาตลอดชีวิตของเขาเพื่อช่วยให้พ่อแม่ของเด็ก ๆ และเพื่อนครูคำสอน ให้ช่วยเด็ก ๆ สำนึกถึงการประทับอยู่ของพระเจ้าในทุกสิ่งทุกอย่างนี้ เธอได้ยกตัวอย่างเช่น ขณะที่เฝ้ามองดูพระอาทิตย์ขึ้นหรือตกกับเด็กๆ หรือดูดอกไม้ที่สวยงามก็ให้เราสรรเสริญและขอบพระคุณพระเจ้าพร้อมกันกับเด็กๆ เช่นเดียวกันกับวัยรุ่นที่ทึ่งกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ ไม่ว่าจะเป็นเพลงหรือเกมต่างๆ สิ่งต่างๆ เหล่านี้เป็นผลงานของพระเจ้าโดยผ่านทางการสร้างสรรค์ของนักคิดและประทานวัสดุต่างๆ ให้เขาได้ผลิตสิ่งดี ๆ ขึ้นมาให้เราได้ใช้ แม้แต่ขณะนี้เราก็สามารถให้เด็กได้มองสิ่งต่าง ๆ รอบห้องเราก็จะเห็นเครื่องหมายแห่งความรักของพระเจ้าอยู่ล้อมรอบตัวของเรา 

            ธรรมเนียมปฏิบัติอย่างหนึ่งของเราคาทอลิกคือ การทำพิธีเสกหรืออวยพรสิ่งของต่าง ๆ เช่น    การอวยพรรูปพระ สายประคำ ไม้กางเขน หนังสือ รถยนต์ เราอาจจะให้เด็ก ๆ นำสิ่งของที่เขามีมาให้เราอวยพรให้ก็ได้ ในพิธีไหว้ครูประจำปีของโรงเรียนมีการเสกหนังสือ บางโรงเรียนมีพิธีเสกห้องเรียนและอวยพรนักเรียนตามห้อง ในโอกาสเปิดปีการศึกษาหรือในวันฉลองคริสต์มาส การทำเช่นนี้เป็นการสร้างจิตสำนึกและการถวายสิ่งต่างๆ เหล่านั้นให้อยู่ในความคุ้มครองดูแลของพระเจ้า และเตือนสติเด็กๆ “ที่นี้ สิ่งนี้ พระเจ้าประทับอยู่นะ”

             การสวดภาวนาก่อนและหลังการทานอาหาร ก่อนและหลังการเรียนและการทำกิจการต่างๆ ก่อนและหลังการเดินทาง เป็นการปลุกจิตสำนึกแห่งการประทับอยู่ของพระเจ้าที่น่าจดจำทั้งสิ้น เราควรให้เด็ก ๆ ของเราผลัดกันเป็นผู้ก่อสวดโดยฝึกให้เขาได้รู้จักและคุ้นเคยกับการภาวนาจากใจ บางครอบครัวเขียนบทภาวนาก่อนและหลังอาหารติดไว้ที่โต๊ะอาหารหรือที่ตู้เย็น

 

พระเจ้าประทับอยู่ในตัวบุคคล
         การสร้างจิตสำนึกให้เด็ก ๆ มองเห็นพระเจ้าในตัวบุคคลนั้น เราสามารถใช้การอวยพรหรือคำ  อวยพรแก่กันและกัน เช่น ขอพระเจ้าอวยพร ขอพระเจ้าคุ้มครอง ฯลฯ ซึ่งสามารถทำได้ทุกคนและ    ทุกเวลา พ่อแม่ให้พรลูก ลูกขอพรให้พ่อแม่ ครูอวยพรให้ลูกศิษย์ ลูกศิษย์ขอพรให้ครู เพื่อนอวยพรเพื่อน ฯลฯ
          เด็ก ๆ ที่กำลังเรียนรู้เรื่องพระบัญญัติและเรื่องความสุขแท้จริงนั้นเป็นโอกาสดีที่ครูจะยกตัวอย่างบุคคลที่ดำเนินชีวิตอย่างดีตามหลักคำสอนนั้น ๆ ชีวิตของคนดีทำให้เด็กมองเห็นพระเจ้าในตัวของบุคคลนั้น
          อีกวิธีการหนึ่งที่เราสามารถสร้างจิตสำนึกนี้ได้ดีก็คือ การสอนเด็ก ๆ ให้ภาวนาให้ผู้อื่น บุคคลที่กำลังเดือดร้อน บุคคลที่กำลังมีความต้องการคำภาวนาในโอกาสต่าง ๆ ในการภาวนาเพื่อมวลชน เราอาจจะบอกเด็ก ๆ ว่าวันนี้เราคิดถึงใครเป็นพิเศษไหม ถ้าคิดถึงให้เราสวดภาวนาเพื่อคนๆนั้น หรือวันนี้มีใครไม่สบายหรือเปล่า ถ้ามีให้เราภาวนาให้ หรือมีการสอบ การแข่งขันกีฬา เราสามารถชวนเด็กๆสวดในทุกโอกาส ทั้งยามสุขและยามทุกข์

 

พระเจ้าประทับอยู่ในพระศาสนจักร
          วัดเป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญของการประทับอยู่ของพระเจ้า เรามักจะเรียกวัดว่าเป็นบ้านของพระเจ้า ดังนั้นการพาเด็กๆ มาสวดภาวนาในวัดหรือการมาสวดภาวนาต่อหน้าตู้ศีลมหาสนิทจึงเป็นการสร้างจิตสำนึกที่น่ากระทำอย่างยิ่ง นอกจากนั้นพระเจ้ายังคงประทับอยู่ในพิธีกรรมทุก ๆ อย่าง เป็นต้น  ในศีลศักดิ์สิทธิ์ทั้งเจ็ดประการ โดยที่เราสัมผัสพระเจ้าโดยผ่านทางสัญลักษณ์หรือสิ่งของที่ใช้ในการ  โปรดศีลศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ เหล่านี้

          ศีลศักดิ์สิทธิ์เป็นหนทางสำคัญที่ช่วยเปิดความคิดและจิตใจของเด็กได้สัมผัสกับการประทับอยู่ของพระเจ้าในตัวของพวกเขาเองและในตัวของผู้อื่นเช่นกัน รวมทั้งในสัญลักษณ์ที่ใช้ เช่น แผ่นปัง น้ำ ไฟ น้ำมัน ลมหายใจ ลมและท่าทางต่างๆ ดังนั้นการเตรียมเด็กๆ ของเราเพื่อการรับศีลศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ  จึงเป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่ครูคำสอนและพ่อแม่จะช่วยกันให้ความเข้าถึงความหมายของการประทับอยู่ของพระเจ้าในพิธีศักดิ์สิทธิ์นี้

          การเตรียมเพื่อการรับศีลมหาสนิทครั้งแรกเป็นโอกาสที่ดีที่สุดที่จะสร้างจิตสำนึกในเรื่องนี้ พระเจ้าทรงประทับอยู่ตัวของเขาและในตัวของเพื่อนๆ ผ่านทางศีลมหาสนิทที่เขารับเอาไว้ในร่างกาย เขาจะต้องเป็นคนดีและเคารพคนอื่น ต้องมีความสัมพันธ์ที่ดีกับทุกคน เพราะเขาได้กลับเป็นบุคคลที่สำคัญที่พระเจ้าทรงเลือกที่จะอยู่ด้วยแบบพิเศษ เขาจะต้องดำเนินชีวิตเหมือนพระเยซูเจ้าที่ไปไหนก็ทำความดีที่นั่น เป็นต้นให้ความรักและความช่วยเหลือแก่คนที่ไม่มีใครคิดถึง

          เราลองไล่เรียงไปแต่ละศีลศักดิ์สิทธิ์เราจะพบความรักของพระเจ้าในทุกช่วงเวลาที่สำคัญ ๆ ของชีวิตที่พระเจ้าทรงปรารถนาที่จะให้เราคิดถึงพระองค์เป็นพิเศษ พระองค์ต้องการอยู่เคียงข้างเรา  เพื่อช่วยเหลือเราในทุกกรณีของชีวิต

         เด็ก ๆ มีสำนึกตามธรรมชาติถึงการประทับอยู่ของพระเจ้าและสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่ในใจของตนเองอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าเขายังขาดผู้ชี้นำว่าความอัศจรรย์ใจ หรือเรื่องที่เขาประหลาดใจนั้นเป็นพระเจ้าที่อยู่เบื้องหลังของทุกสิ่งที่เกินความเข้าใจของเขา