จดหมายเปิดผนึก...ถึงเพื่อน...ผู้ร่วมงาน
Love Letter 2

การแบ่งปันประสบการณ์ความเชื่อ
         สวัสดีครูคำสอน เพื่อนผู้ร่วมงานในพระคริสตเจ้าทั้งมือเก่าและมือใหม่ทุกคน
          จดหมายฉบับนี้เป็นฉบับที่ 2 ที่เขียนถึงเพื่อน ๆ ครูคำสอน ขอย้อนไปยังฉบับแรกสักนิด เนื้อหาใจความสำคัญในครั้งนั้น พ่อพูดถึงพันธกิจครูคำสอนโดยเชิญชวนให้เรามองดูแบบอย่างของนักบุญยอห์น บัปติส ที่ทำหน้าทีนำเป็น “ทูตของพระเจ้า” หรือ “ผู้เตรียมทาง” รับเสด็จองค์พระผู้เป็นเจ้า ครูคำสอนก็เป็นเช่นนั้น ในครั้งนี้พ่ออยากจะลงไปในรายละเอียดสักเล็กน้อย ว่าเราในฐานะ “ทูต” จะต้องทำอย่างไรบ้าง


          ประการแรก ที่เพื่อนๆจะต้องกระทำ คือ การแบ่งปันประสบการณ์ความเชื่อของตนเอง
            การสอนคำสอนที่ดีที่สุดเพื่อจะทำให้เด็กๆของเราได้เปิดหัวใจต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้าก็คือ การแบ่งปันประสบการณ์แห่งความเชื่อของเพื่อนๆเอง แบ่งปันความรักที่เพื่อนๆได้รับจากพระองค์ การโมทนาพระคุณพระองค์สำหรับพระพระต่างๆที่เพื่อนได้รับจากพระเจ้า การได้รับความอบอุ่นและมิตรภาพที่ดีกับพระเยซูเจ้า ความเชื่อและความมั่นคงในพระศาสนจักร การเข้าร่วมพิธีกรรมและศีลศักดิ์สิทธิ์ การเอาชนะอุปสรรคต่างๆในชีวิต ประสบการณ์ชีวิตที่เกี่ยวข้องกับการภาวนา ความสุขในการดำเนินชีวิตคริสตชน ในการสอนคำสอนแต่ละครั้งให้เพื่อนๆได้แบ่งปันประสบการณ์เหล่านี้ ซึ่งประสบการณ์แห่งความเชื่อของเพื่อนเหล่านี้จะช่วยทำให้เด็กๆได้เกิดความเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าได้เช่นเดียวกัน ถ้าเป็นเช่นนี้เพื่อนๆก็เท่ากับเป็น “ทูต” หรือ “ผู้ส่งข่าวสาร” ของพระองค์

           ประการที่สอง คือ การแบ่งปันประสบการณ์ความเชื่อของผู้อื่น
           ในการสอนคำสอน นอกจากการแบ่งปันประสบการณ์ความเชื่อของตนเองแล้ว เพื่อนๆอาจจะนำเอาเรื่องราวของบุคคลอื่นๆมาแบ่งปันหรือเล่าให้เด็กๆของเราได้รับฟังก็ได้ และเป็นสิ่งที่น่ากระทำอย่างมาก มีบุคคลมากมายที่มีชีวิตงดงาม มีความเชื่อมั่นในองค์พระผู้เป็นเจ้า อุทิศตนทำงานรับใช้พระเจ้าในหน้าที่ต่างๆ เช่น ชีวิตของบรรดานักบุญ นักบวช มิชชันนารี หรือแม้แต่คนดีๆในสังคมหรือในวัดของเรา การนำเอาเรื่องจริงต่างๆเหล่านี้มาเล่าให้เด็กๆฟังเป็นการสร้างแรงบันดาลใจและทำให้เห็นว่าความสัมพันธ์ระหว่างความเชื่อศรัทธากับชีวิตจริงของผู้คนต่างๆ

            ในเรื่องนี้อยากให้เพื่อนๆได้สะสมเรื่องราวของบุคคลต่างๆไว้ในคลังสมองหรือในสมุดบันทึกของเพื่อนๆ และเมื่อมีเรื่องใดที่ตรงกับหัวข้อในการสอนจะได้นำออกมาใช้ได้อย่างเหมาะสมกับเหตุการณ์

            ประการที่สาม คือ การแบ่งปันประสบการณ์ความเชื่อของเด็กๆเอง
            เพื่อนๆ อย่ามองข้ามเรื่องนี้ไปเด็ดขาด เด็กๆของเราแต่ละคนต่างก็มีประสบการณ์ความเชื่อเช่นเดียวกัน เพื่อนๆควรให้เวลาเด็กๆได้แบ่งปันประสบการณ์ความเชื่อของพวกเขาด้วย ให้เรากระตุ้นหัวใจของพวกเขาด้วยคำถามง่ายๆ เช่น “หนูคิดถึงพระเยซูเจ้าในเวลาใดมากที่สุด” “หนูคิดว่าในบรรดาธรรมชาติต่างๆที่หนูเห็นนี้อะไรเป็นสิ่งที่หนูชอบมากที่สุด..ทำไมจึงชอบ”  “เวลาที่หนูมีความทุกข์ หนูคิดว่าพระเยซูเจ้าจะบอกอะไรกับหนูบ้าง” “เวลาคุณพ่อหรือคุณแม่ใม่สบายหนูอยากจะบอกพระเยซูเจ้าว่าอย่างไร” “หนูรักพระเจ้าไหม” “หนูชอบสวดภาวนาไม่” “หนูอยากให้วัดมีอะไรบ้าง” ฯลฯ

           การใช้การตั้งคำถามเป็นการท้าทายจิตใจของเด็กๆให้ได้ไตร่ตรองประสบการณ์ของตนเอง ถ้าไม่คิดเรื่องต่างๆก็จะผ่านไปอย่างไม่มีคุณค่าอะไร หรือปล่อยให้ของมีค่าตกน้ำไปซะอย่างนั้น ตรงกันข้ามการให้หวนคิดถึงประสบการณ์ของตนเอง เป็นการเปิดโอกาสให้เด็กๆได้เรียนรู้จากประสบการณ์ของตนเอง และจะช่วยให้เด็กๆเกิดความสำนึกว่าพระเจ้าสถิตอยู่ใกล้ชิดเขาเหลือเกิน

           สิ่งสำคัญ คือ เพื่อนๆต้องเก่งในการตั้งคำถาม คำถามควรตรงกับประสบการณ์ของเด็กๆที่เราสอน และอย่ากดดันหรือบังคับให้ต้องแบ่งปัน เพราะเด็กบางคนอาจจะไม่ชอบแสดงออก เพื่อนๆต้องสังเกตและเรียนรู้ความชอบหรือไม่ชอบของเด็กๆ แต่ละคนด้วย ถ้ามีการบังคับคราวหน้า เพื่อนๆ อาจจะไม่ได้เห็นหน้าเด็กคนนั้นในห้องคำสอนอีก

         ประการสุดท้าย การสอนคำสอนคือให้การอบรมทั้งทางด้านสติปัญญาและหัวใจ
          ถ้าการ “ให้การอบรม” คือ เป้าหมายของเราในฐานะครูสอนคำสอน แล้วการให้ความรู้หรือให้ข้อมูลเล่าสำคัญอย่างไร (ภาษาอังกฤษใช้ 2 คำนี้ คือ Formation กับ Information) การสอนคำสอนเป็นการให้ความรู้เกี่ยวกับความเชื่อ ให้รู้เพื่อให้รัก เราให้ข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับศาสนา หลักธรรมคำสอน ความเชื่อ และประสบการณ์ชีวิต ดังนั้นเด็กๆของเราจึงต้องมีทั้งความรู้ทางด้านสติปัญญาและจะต้องมีหัวใจรักและศรัทธาในสิ่งที่ได้เรียนรู้ไป ทั้งสองต้องเดินควบคู่กันไป เด็กๆของเราที่เราสอนจะต้องทำการตัดสินใจเลือกที่จะดำเนินชีวิตตามหลักคำสอนที่ได้เรียนรู้ไปในแต่ละครั้ง สิ่งที่เรารักและสิ่งที่เราเลือกกระทำต้องมีพื้นฐานมาจากสิ่งที่เราเชื่อและเราเข้าใจเกี่ยวกับชีวิตของเรา ท่านนักบุญเปาโลเองได้เข้าใจในเรื่องนี้อย่างดีเมื่อท่านได้กระตุ้นเตือนชาวฟิลิปปีว่า “จงมีความรู้สึกนึกคิดเช่นเดียวกับที่พระคริสตเยซูทรงมีเถิด” (ฟป 2:5)

          เพื่อที่จะช่วยให้เด็กๆที่เราสอนได้รู้และเข้าใจชีวิตและโลกอย่างที่พระเยซูเจ้าทรงรู้ทรงเห็นและทรงเข้าใจ เราควรที่จะให้เด็กๆของเรารู้ถึงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า รู้ถึงความสอนที่สำคัญของพระองค์เป็นต้นคำสอนที่ทรงกำชับให้เรารักกันและกัน ของขวัญยิ่งใหญ่ที่พระบิดาทรงมอบพระเยซูเจ้าให้เรามนุษย์ ฯลฯ เรื่องต่างๆเหล่านี้จะช่วยกันเสริมสร้างทั้งสติปัญญาและจิตใจของเด็กๆให้ได้มีความรู้สึกนึกคิดเช่นเดียวกับพระองค์

          สำหรับวันนี้ ขอจบแต่เพียงเท่านี้ ขอให้เพื่อนๆทำงานให้สนุก แล้วจะมีความสุขกับการทำงาน พบกันอีกในฉบับหน้า
ขอพระเจ้าประทานพระพร
คุณพ่อวัชศิลป์ กฤษเจริญ
บ้านพักในอารามพระหฤทัยฯ : 29 พ.ค. 2010