บทที่ 25
พระเป็นเจ้าทรงยกโทษให้เราเมื่อเราสำนึกผิด

จุดมุ่งหมาย  เพื่อให้นักเรียนเกิดความประทับใจในพระเมตตาของพระเป็นเจ้า
และไม่กลัวที่จะมาสารภาพผิดต่อพระองค์

ขั้นที่ 1 กิจกรรม

 ครูเล่าเรื่องในพระวรสารต่อไปนี้ให้นักเรียนฟังพร้อมภาพประกอบ
               พวกฟาริสีและอาจารย์พระคัมภีร์พาหญิงคนหนึ่งมาหาพระเยซูคริสต์ หญิงคนนี้ถูกจับขณะกำลังเล่นชู้กับชายคนหนึ่ง ตามกฎของโมเสสจะต้องลงโทษโดยเอาหินขว้างให้ตาย พระองค์จะว่าอย่างไร ที่พวกเขาทำเช่นนี้ก็เพื่อจะทดลองพระองค์ แต่พระเยซูคริสต์ทรงล่วงรู้เจตนาของพวกเขา พระองค์จึงไม่ทรงตอบอะไร ทรงเอานิ้วขีดเขียนไปมาบนพื้นทราย  พวกเขาก็ยิ่งรบเร้าพระองค์ พระองค์จึงตรัสว่า “ใครในพวกท่านที่ไม่มีบาปก็ให้คนนั้นลงมือขว้างหินเป็นคนแรก” ตรัสแล้วก็ทรงขีดเขียนต่อไป คนเหล่านั้นจึงเกิดความละอายใจ ค่อย ๆ หลบหนีออกไปทีละคนสองคน เริ่มตั้งแต่คนแก่ ๆ ก่อน จนที่สุดเหลือแต่เพียงระองค์กับหญิงคนนั้นเท่านั้น พระองค์จึงถามนางว่า “พวกเขาไปกันหมดแล้วหรือ? ไม่มีใครลงโทษเจ้าหรือ?” หญิงนั้นตอบว่า “ไม่มีค่ะ” พระเยซูคริสต์จึงตรัสว่า “เราก็ไม่ลงโทษเจ้าเหมือนกัน จงไปเถิด แล้วอย่าทำผิดอีก” (ยน.8,3-11)

ขั้นที่ 2 วิเคราะห์

ครูถามความรู้สึกของนักเรียนว่า
 - รู้สีกอย่างไรต่อพวกฟาริสีและอาจารย์พระคัมภีร์?
 - รู้สึกอย่างไรต่อหญิงที่ถูกจับมา?
 - รู้สึกอย่างไรต่อพระเยซูคริสต์?
สรุป ความประทับใจของเราก็คือ พระเยซูคริสต์ทรงมีพระทัยเปี่ยมด้วยความเมตตากรุณา ทรงพร้อมเสมอที่จะยกโทษให้แก่ผู้ที่สำนึกผิด ไม่ว่าเขาผู้นั้นจะมีบาปหนาสักเท่าใดก็ตาม

ขั้นที่ 3 คำสอน

           1. พระเยซูคริสต์ตรัสว่า “เรามาเพื่อตามหาและช่วยคนบาปให้รอด” (ลก.19,10) แสดงว่าพระองค์ทรงห่วงใยคนบาปเป็นพิเศษ จนถึงกับเสด็จมาเพื่อตามหาพวกเขาโดยเฉพาะ พระองค์ยังตรัสอีกว่า “คนดีไม่ต้องการหมด แต่คนเจ็บต่างหากที่ต้องการหมอ” (มธ.9,12)

         2. พระเป็นเจ้าทรงมีพระทัยกว้างขวางและทรงเผื่อแผ่พระเมตตาไปยังคนบาปทุกคน พระองค์ทรงเฝ้าคอยให้เขากลับมาหาพระองค์เพื่อจะทรงยกโทษให้ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือนิทานเปรียบเทียบเรื่อง “ลูกล้างผลาญ” ที่เราเคยได้ยินมา บิดาในท้องเรื่องนี้ก็เปรียบได้กับพระเป็นเจ้านั้นเองที่คอยเฝ้าการกลับมาของลูกอยู่ทุกวัน เมื่อลูกซมซานกลับมา แทนที่จะลงโทษกลับสวมกอดรับขวัญและจัดฉลองต้อนรับอย่างใหญ่โต พระเป็นเจ้าทรงทำเช่นนี้ต่อคนบาปที่กลับใจจริง ๆ (เทียบ ลก.15,11-32)

         3. ปกติเมื่อเราทำผิด เรามักไม่กล้าไปบอกใครเพราะกลัวถูกลงโทษ เช่น ทำข้าวของในบ้านแตกเสียหาย เราไม่กล้าไปบอกพ่อแม่เพราะกลัวถูกตี หรือทำข้าวของของโรงเรียนเสียหาย เราไม่กล้าไปบอกครู เพราะกลัวถูกตี  แต่สำหรับพระเป็นเจ้าจะไม่เป็นเช่นนั้นเลย พระองค์จะไม่ทรงลงโทษเราเลย แต่จะยกโทษและรักเราเหมือนเดิม ขอเพียงให้เราเข้ามาขอโทษพระองค์ด้วยความสำนึกผิด

         4. พร้อมกับความสำนึกผิดก็ต้องมีความตั้งใจที่จะไม่ทำบาปอีกต่อไปด้วย พระเยซูคริสต์ตรัสแก่หญิงคนบาปว่า “เราก็ไม่ลงโทษเจ้า จงไปเถิด แล้วอย่าทำผิดอีก” (ยน.8,11) แสดงให้เห็นว่าความตั้งใจจะไม่ทำบาปอีกนี้เงื่อนไขสำคัญที่จะได้รับการอภัย เราจึงต้องตั้งใจเช่นนี้ทุกครั้ง และต้องพยายามถือตามความตั้งใจนี้ด้วย

ขั้นที่ 4 ปฏิบัติ

ก. จดเนื้อหาลงในสมุด
1. เมื่อเราทำบาปเราต้องทำอย่างไร?
 ตอบ  เมื่อเราทำบาป เราต้องเป็นทุกข์เสียใจ ขอโทษพระเป็นเจ้าและตั้งใจจะไม่ทำอีก
2. พระเป็นเจ้าทรงยกโทษให้เราอย่างไร?
 ตอบ  พระเป็นเจ้าทรงยกโทษให้เราโดยทางศีลแก้บาป
ข. กิจกรรม
ร้องเพลง “ยอมเพราะรัก” (ปรารถนา หน้า 127)

ยอมเพราะรัก

 ความรักของพระเป็นเจ้า   นั้นงามเป็นดั่งคำสัญญา
พระบุตรมารับโทษา    ยกบาปของเราทั้งมวล
โปรดทรงพระเมตตา    ช่วยเราสู่ทางที่ควร
และขอโปรดประทาน    ให้เรามีความสันติเทอญ